วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

กาย เวทนา จิต ธรรม

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร 
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 

กาย เวทนา จิต ธรรม 
https://youtu.be/KQTRgQ8rwko 


ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 

          ณ บัดนี้ ถึงเวลาปฏิบัติบูชา นั่งสมาธิภาวนา ให้พากันนั่งขัดสมาธิเพชรให้ได้ทุกๆคน การนั่งขัดสมาธิเพชเหมือนอย่างพระพุทธเจ้านั่งสมาธิภาวนาใต้ร่มไม่โผล่ พระองค์เอาชนะใด้ เราทุกคนก็ได้มาสู่สถานที่วิเวกภาวนา ถ้ำผาปล่องนี้เป็นที่วิเวกเป็นที่ภาวนา เราทุกคนก็มาถึงสถานที่นี่ และได้ร่ำร้องมานานว่าเมื่อใดหนอข้าพเจ้าจะได้ที่เงียบสงัดภาวนา บัดนี้สถานที่ภายนอกนั้นก็แล้วว่าพร้อมบริบูรณ์ ห่างไกลจากที่ชุมนุมชน ไม่มีเสียงรบกวน ที่ว่าเสนาสนะสัปายะ ที่อยู่อาศัยเป็นที่สบาย ก่อนนะว่าที่นี่ก็เป็นที่สบาย เมื่อเรามาอยู่ในที่สบายจิตใจเราไม่ต้องสงสารรำคาญรั่วไหลไปที่อื่น รวบรวมกำลังจิตกำลังใจปล่อยวางเรื่องราวภายนอก จะมีอารมณ์เรื่องราวอะไรขัดข้องสงสัยก็ตามไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อเรานั่งขัดสมาธิเพชรเสร็จเรียบร้อยแล้วหลับตานึกภาวนาพุทโธนี้เป็นคนพระพุทธเจ้าพระพุทธคุณพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกอะไรทั้งหมดที่เราเห็นอยู่ในประเทศบ้านเมืองเราจะไม่มีวัดวาศาสนาโบสถ์ วิหาร เจดีย์ ศาลาการเปรียญ วิหารเราจะไม่เห็น ไม่เห็นพระสงฆ์องคเจ้า ห่มผ้ากาสาวะพัฒ ผ้าเหลืองผ้าขาวจะไม่มี ที่เราเห็นนี่ก็คือว่ามาจากพระพุทธเจ้าพระองค์นั่งสมาธิภาวนาเดินจงกรม รวมจิตรวมใจในวันวิสาขบูชาเดือน 6 พระองค์ไม่ปล่อยปละละเลยให้ใจกิเลสเข้ามารบกวนใจของพระองค์ได้ 


          บทภาวนาของพระพุทธเจ้าของเราก็ไม่ใช่อื่นไกลที่ไหนก็เอาลมหายใจเข้าออกเป็นอุบายภาวนาแต่จิตใจของพระองค์กล้าหาญที่สุด แล้วว่าสละชีวิตอิสระตาย กิเลสราคะกิเลสโมโหมันเป็นเจ้าใหญ่นายโตอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ปุถุชนคนเรา เราต้องลุกขึ้นบำเพ็ญภาวนา พระพุทธเจ้านั้นพระองค์เอาชนะได้แล้ว สละชีวิตลงไปได้แล้ว กิเลสความโกรธได้แล้วตัดกิเลสความโลภได้แล้วตัดกิเลสความหลงได้หมดสิ้นแล้วกิเลสพร้อมทั้งวาดในวันเดือน 6 เพ็ญ เสร็จเรียบร้อยแต่พวกเราทั้งหลายนี้ยังอยู่ ยังห่วงหน้าห่วงหลังวิตกวิจารณ์ไปต่างๆนานา เพราะยังไม่เสียสละเต็มที่ ความจริงก็คือว่านั่งสมาธิภาวนาแล้วจิตใจไม่ควรให้ไปที่อื่นให้จิตใจน้อมเข้ามา รวมเข้ามา ใจคนเราไม่แต่มันอยู่นอกร่างกายไป ที่เราเห็นต้นไม้ภูเขาอันนั้นมันลูกกะตา มันมองออกมาทางสายตา ก็เห็นต้นไม้ภูเขา แล้วใครเป็นผู้มองมาคิดบอกมา นั่นท่านเรียกว่าจิตดวงผู้รู้อยู่ในตัวเราทุกคน จงรวมกำลังจิตใจให้มาอยู่ในดวงจิตที่รู้อยู่นั้น ดวงจิตที่รู้อยู่นี่มันก็ไม่ใช่ลึกซึ้งจนกระทั่งมองไม่เห็น เราหูดีฟังเสียงได้ยินเสียงมันจะลอยไปในอากาศกระทบโสดหูไปรุ้ที่จิต จิตไม่ต้องไปหาเป็นก้อนเป็นหน่วยเป็นสีสันวรรณะเหมือนคนเหมือนลูกแก้วไม่มี เหมือนเรามองไปในอากาศไม่มีอย่างนั้น แต่มันมีความรู้อยู่ในตัวในใจอันนั้น เวลารวมจิตใจดวงนี้เข้ามาเป็นดวงหนึ่งดวงเดียวให้ได้เสียก่อน จะรู้จักรู้แจ้งเมื่อภายหลัง ว่ากิเลสนั้นมันซึมซาบอยู่ในจิตใจดวงนี้แหละ กิเลสความโกรธมันก็อยู่ที่จิตใจดวงผู้รู้ผู้คิดผมนึกนี่ กิเลสความโกรธความโลภความหลงมันไม่เคยมากมายมันอยู่ในใจนั่นแหละ 


          ถ้าจิตใจของเราตั้งมั่นลงไปไม่หวั่นไหว พุทโธลงไปในหัวใจ จิตดวงที่รู้โยธินไหนก็ตั้งลงไปให้มันมั่นคง ตัวตนของเหล่านี้เพียงธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมประชุมกันอยู่เท่านั้นเอง ไม่ใช่ของเราแท้ เขามาเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อบำเพ็ญบุญบารมีของเราให้แก่กล้า ทานะบารมียังไม่เกะกะเราก็จะต้องทำทานะบารมี ศีลบารมียังไม่บริสุทธิ์ยังไม่แก่กล้าเราก็จะได้บำเพ็ญศีลและบารมี นับตั้งแต่หลักศีล 5 ขึ้นไป เว้นจากฆ่าสัตว์ เว้นลักขโมยวัตถุเท่าของของบุคคลผู้อื่น เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากกล่าวมุสาวาท เว้นจากเดิมกินสุราเมรัย อันหลักศีล 5 ศีล 8 เป็นการฝึกจิตฝึกใจสังวรระวังกายวาจาได้แล้ว มีอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้มันมีอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ อารมณ์ของจิตมันมีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่รูป เมื่อเห็นรูปแล้ว รูปกนั่นแหละมาเป็นอารมณ์ในจิตถ้ารูปดีก็ชอบคอพอใจถ้ารูปขี้ร้ายขี้เหร่ก็เกลียดชังอยากจะให้มันตายไปเสีย มาเป็นอารมณ์อยู่ใน เสียงดีเสียงเพราะกดชอบใจร้องรำทำเพลงถ้าเสียงเขาดุด่าว่าร้ายป้ายสีให้ไม่พอใจเย็ดแม่อยู่ก็นั่นแหละ กลิ่นเหม็นก็ไม่ชอบถ้ากินหอมแล้วก็ชอบใจ จะเป็นดอกไม้ก็เอามาดมเอามาเหน็บหูมันใกล้จมูก อันนี้มันเป็นเรื่องกิเลสในใจ แล้วใจนี่แหละเมื่อลดอาหารมันผ่านลิ้น โดยที่ไม่พิจารณาธาตุกรรมฐานอสุภะกรรมฐานไม่ได้พิจารณาว่าการบริโภคนั้น เพื่อประโยชน์อะไร จิตก็มาหลงติดอยู่ในรถอาหารการกิน เวลาเราภาวนานี้เป็นเวลาสงบ เป็นเวลาละวาง ไม่ให้เรื่องเหล่านี้มาเป็นอารมณ์อยู่ในจิต เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบก็ไม่ให้จิตใจมายินดียินร้าย ที่ท่านให้นึกบริกรรมพุทโธ อยู่ในตัวในใจ มันเพื่อนร่วมกำลัง ให้ตั้งมันแน่วแน่มั่นคงไม่ให้หลงใหล มีสติสัมปชัญญะ สติความระลึกได้ 


          สตินี้เป็นการฝึกให้เจริญมากๆแล้วจะไม่หลง ตั้งมันลงไปแล้วก็เลิกไม่ให้มันลง เวลาร่างกายนั่งสติก็ต้องระลึก วันนั่งแบบไหน สติความระลึกได้ต้องดูตัวเองนั่งให้รอบคอบ รู้จิตรู้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้พลั้งเผลอลุ่มหลงมัวเมาไปตามอายตนะภายนอก คนที่ขาดสติ ไม่ว่านั่งสมาธิภาวนาก็หลับไหลไปก็คือว่าขาดสติขาดสมาธิขาดปัญญา สติความระลึกได้ก็จิตใจดวงผู้รู้อันเดียวนี่แหละนึกขึ้นมา ให้มีสติระลึกอยู่ไม่หลงไหลไปกับเรื่องใดๆทั้งหมด เตือนจิตใจดวงนี้อยู่ตลอดเวลา ธรรมดาจิตใจคนเรานั้น ท่านเปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่าทารกที่เกิดขึ้นมาใหม่ ไม่รู้อะไร ถ้าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าไม่ดูแล ทารกนั้นจะต้องเกิดภัยอันตราย มันยังไม่รู้อะไร คนเราหรือมานี่อาศัยบิดามารดาพี่เลี้ยงนางนมช่วยดูแลให้มันจะตกเขาก็จับไว้ ไม่ให้ตก แต่ว่าเมื่อมันใหญ่แล้วคนเรามันก็ลืมบุญคุณของผู้ที่เพิ่นดูแลให้ เมื่อเรามาภาวนาก็ให้ตั้งใจขึ้นมาระลึกขึ้นมา ดวงสติคือจิตระลึกอยู่ให้ระลึกอยู่เรียกว่าสติปัฏฐาน 4 พิจารณาอยู่ในกาย ในกายหมายถึง ขา 2 แขน 2ศรีษะ 1 มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ให้เอาสติมาดูกาลเนี่ย ภายในหนังหุ้มเข้าไปมีอะไรเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำเหลือง เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ แต่เมื่อเราไม่กำหนดพิจารณาเสร็จมันก็ประมาทมัวเมา เห็นเป็นของสวยของงามของมั่นคงถาวรแท้ที่จริงไม่มีอะไรเลย มันรอความแตกดับอยู่ตลอดเวลา จงรวมจิตใจลงไปลึกพิจารณาในร่างกายสำคัญนี่แหละวะระลึกอยู่ในกาย จนแจ่มแจ้งทุกส่วนทุกประการในร่างกายสำคัญนี้จนไม่หลง ไม่คิดไปในทางหลวงคิดว่า ระลึกศพเข้าเอทนามาถึงเข้าทุกขเวทนามาถึงเข้าเฉยๆเวลาธนามาถึงเข้าท่านก็ต้องให้สติความระลึกได้ ไม่ให้หลงไหลไปตามสุขทุกข์เฉยๆนั้น แปลว่าคงสติ ดูกายโดเวธนาดูจิต ความคิดนึกปรุงแต่งอะไรต่อมิอะไร ก็ต้องเอาจิตใจดวงโผล่มาชิดมานึกมาภาวนานั่นเองให้สงบระงับตั้งมั่นลงไป คำว่าธรรมหรือว่าธรรมารมณ์เรื่องราวที่มันผ่านมามันก็มาเป็นอารมณ์อยู่ใน กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างนี้แหละว่าสติต้องระลึกผิดอย่าลืมนะ ไม่ให้เพียงแต่ว่ามายึดหน้าถือตามายึดตัวถือตนมายึดเราของของเรา จะกำหนดพิจารณาอะไรไม่ได้อันนี้เป็นความผิดความหลง 


          พระพุทธเจ้าพระองค์เตือนว่าให้มีสติความระลึก ได้ ข้อแรกท่านก็หายแล้วลึกพุทโธตั้งจิตให้มันๆเลยนะ เอาจนตั้งมั่นลงไปได้จริงๆ ใจคนเรานั้นถ้าให้มันตั้งมันมันก็ได้หมด ถ้าไม่ฝึกไม่ฝนปล่อยให้มันไปตามอารมณ์กิเลสราคะโทสะโมหะ ก็เมาไปอย่างนั้นแหละไม่มีความรู้สึกตัวเอง ต้องตั้งใจขึ้นมาแล้วก็ระลึกใน กาย เวทนา จิต ธรรม รวบรัดเอาดวงจิตดวงใจดวงผู้รู้อยู่ภายในให้อยู่ที่นี่ ไม่ให้แส่สายไปที่อื่น ที่อื่นไม่ใช่ที่อยู่ของจิต จิตคนเรามันอยู่ในกายในรูปนี่แหละ ก่อนที่จะได้เนื้อหนังมังตัวตนอันนี้มาต้องไปนอนอยู่ในท้องแม่ ตั้ง 10 เดือนจึงได้ร่างกายสังขารอันนี้ เมื่อได้มาแล้วก็จะมาลุ่มหลงมัวเมาเพลินไปตามอันนี้ไม่ได้ เพราะร่างกายสังขารนี้เป็นของเป็นเครื่องใช้ชั่วคราว มนุษย์ยุคนี้สมัยนี้อายุไม่ค่อยถึงร้อยปีก็ต้องตายแล้ว เราจะมาเพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมาไปตามรูปนามไม่ได้ ต้องภาวนาทำใจให้สงบตั้งมั่นเป็นดวงหนึ่งดวงเดียวให้ได้ ที่เราจะทำได้ก็ต้องตั้งใจตั้งแต่บัดนี้เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่ปล่อยปละละเลยนั่งก็มีสติระลึกอยู่ ยืนเดินนั่งนอนก็มีสติความระลึก คำบริกรรมในใจมั่นคง หนักแน่นอยู่ในหัวใจ พุทโธอยู่ที่นี่ธัมโม อยู่ที่นี่สังโฆก็อยู่ที่นี่ อยู่ที่จิตใจดวงผู้รู้อยู่สวนสังขารประมาณจิตแต่คิดนึกเรื่อยเปื่อยไปไม่ต้องตามมันไปตามไปไม่มีที่สุดที่สุด ตามกิเลสตัณหามาตั้งแต่อเนกชาตินับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว มาบัดนี้วันนี้เดี๋ยวนี้เป็นต้น ไปเราจะไม่ตามไป เราจะภาวนาพิจารณาสงบจิตใจดวงนี้ เมื่อจิตใจดวงนี้อยู่แล้วก็จะต้องกำหนดให้รู้หลักอนิจจังทุกขังอนัตตา สอนจิตใจดวงนี้ให้เกิดความรู้ความฉลาดความสามารถขึ้นมาใจท้อแท้อ่อนแอกลัวตายไม่มี 


          ตั้งใจภาวนาร่วมจิตรวมใจลงไปให้เต็มดวงหนึ่งดวงเดียวให้ได้ วันไหนคืนไหนใจไม่สงบข้าจะไม่นอนถ้าจะนั่งภาวนามันยังเด้อ ให้เราจะนั่งให้มันตายเหมือนพระพุทธเจ้าของเราถ้าไม่ได้พระองค์จะไม่ลุกไปแสวงหามาเลี้ยงชีพอีกต่อไปพระองค์ท่านจะนั่งภาวนาให้มันตายในร่มใม้ นะเราทุกคนทุกดวงใจก็ต้องมีจิตใจแน่วแน่ๆเหมือนกับพุทธเจ้า จึงจะตัดได้ละได้ปล่อยได้วางได้ ไม่ทำตามอำนาจกิเลสความโกรธบอกให้ทำไม่ทำตามอำนาจกิเลสความโลภ ไม่หลงไปตามอวิชชาตัณหาในจิตใจที่เต็มไปด้วยกิเลสบอกให้ลง เราจะภาวนาทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน อันเป็นสถานที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ไข้ไม่ตาย มันมีอยู่ในใจนั่นแหละ แต่ถ้าไม่รวมไม่สงบลงไปมันก็ไปทั่วลงไปแล้วมันก็มีใจดวงเดียวนั่นแหละตั้งจิตตั้งทำจิตให้เป็นดวงเดียว ธรรมโมทำใจให้เป็นดวงเดียวไม่ให้แส่สายลุ่มหลงไปในที่ใดๆจิตใจดวงนี้มัดจิตใจดวงนี้ด้วยสมถกรรมฐานจิตสงบระงับมัดไว้ วิปัสสนากรรมฐานพิจารณารูปนามกายใจตัวตนทั้งภายนอกภายในทั้งส่วนตนและบุคคลผู้อื่น จนจิตที่เคยหลงมัวเมามากแก้ไขไม่ให้หลงมัวเมาอีกต่อไปแล้วตัดในใจมันขาดอะไรกระทบกระเทือนหูก็ทำใจให้ว่างนะมันเฉย ไม่ต้องไปรุมหลงมัวเมาไม่มีที่สิ้นสุด ใจดวงผู้รู้ที่นี่ก็ภาวนาอยู่ที่ไหนสงบอยู่เห็นจริงเห็นแจ้งอยู่ที่นี่ ไม่ต้องให้มันมาหลอกลวงอีกต่อไป จิตใจของผู้ปฏิบัติจะได้มั่นคงลงไปเกิดแล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ แก่ชราเจ็บไข้ได้ป่วย ผลที่สุดก็แตกดับตายไปตายไป แล้วจะได้อะไรไม่มีอะไรได้เมื่อยังมีชีวิตลมหายใจอยู่อย่างนี้แหละ เราจะต้องปฏิบัติบูชานั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมชำระจิตใจดวงนี้ให้ออกใสสะอาดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกทุกลมหายใจออก เราจะไม่เป็นคนประมาทมัวเมาอีกต่อไป ทุกขังอริยสัจจังทุกข์เป็นของจริงมีอยู่ในโลกน้ำตัวตนคนเราทุกคน อย่าได้มาหลงยึดหน้าถือตายึดตัวถือตนยึดเรายึดของของเรายึดค่าของค่าตัวเราของเราของเราที่ไหนของโลกเขาโลกกิเลสมันสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล หลอกลวงให้ลุ่มหลงมัวเมาวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุดยุติลงไปได้ เราจะต้องทำความเพียรภาวนาให้ใจดวงนี้ให้มั่นคงหนักแน่นลงไป มีสติทุกเวลามีสมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ทุกเวลา มีปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถอาจหาญรอบรู้ในกองสังขารไม่ให้หวั่นไหวสั่นสะเทือนไปตามรูปเสียงกลิ่นรส เอาจิตใจดวงนี้ให้ว่างวางเฉย เป็นดวงดวงเดียว กิเลสอะไรมันยังพ่องผ่านอยู่ในใจก็ตัดลากลงไปให้มันหมด เหลือดวงจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสสะอาด ไม่ปนด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบประกอบส่วนที่เป็นกุศลอยู่ในจิตในใจของตน ทำความเพียรเพ่งอยู่ภายในภายนอกไม่เกี่ยว จะไม่ไปยึดไปถืออะไรทั้งหมด 


          ดวงจิตดวงใจไม่เคยไปอยู่ที่อื่น มันอยู่ในกายเราได้ยินเสียงนี้ก็คือว่าใจนั่นแหละอยู่ที่นี่ ถ้ามันออกจากร่างนี่ไปเหมือนคนตายทำอะไรไม่ได้ คนเราจะประพฤติปฏิบัติได้ก็ในเมื่อเวลามันยังอยู่ในรูปขันธ์นี่แหละเมื่ออยู่ในรูปขันธืมันจะได้รู้จักมาบรรจบกันทุกสบายไม่สบายอย่างไรร้อนหนาวมันรู้อยู่นี่แหละทำความเพียรปฏิบัติบูชา สิ่งอื่นใดนอกจากจิตใจดวงผู้รู้อยู่ออกไปทั้งหมดไม่ต้องไปหรอก ห้รู้ว่าอนิจจังไม่เที่ยงทั้งหมดทั้งหมดทุกขังไปถือไปลงก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อนัตตาคือสำคัญผิดคิดว่าเราตัวเราของเราความจริงไม่ได้เป็นของเราของธาตุโลกเขา อาศัยกิเลสตัณหามานะทิฏฐิเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ติดให้ให้หลงอยู่ต่างหาก เวลาตายจากโลกนี้แบกหามอะไรไปได้ทิ้งไว้ทั้งนั้น ต่อไปเราจะไม่ต้องไปวุ่นวายกับสิ่งใดๆ ว่าพุทโธจิตใจดวงผู้รู้อยู่ที่นี่ ตามละตามปล่อยวางตัณหามานะทิฏฐิให้หมดสิ้นไปในคืนวันนี้ ตั้งใจลงไปจริงๆ เมื่อตั้งใจเต็มที่ได้ จิตใจก็ยอมสงบระงับตั้งมั่นเที่ยงตรงๆที่อยู่ในจักร ใจร้อกฏหายไปใจเย็นก็จะได้เกิดขึ้นมาแทนที่ ก็จิตดวงมีอยู่ในตัวเราทุกๆคนเก็บสังขารจิตกิเลสตัณหามานะทิฏฐิไม่ต้องเกี่ยวข้อง พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า นัตถิตัณหาสมานาที แม่น้ำจะเสมอด้วยตัณหาไม่มี ตัณหาความอยากความวุ่นวายในใจมนุษย์ปุถุชนคนเรามันวุ่นวายที่สุด เลิกปลดปล่อยออกไปให้หมดสิ้น เอกังพุทธธัง เอาจิตให้เป็นดวงเดียว เอกังธัมโมเอาจิตให้เป็นธรรมดวงเดียว แน่วแน่มั่นคง ไม่หลงใหล ไม่ไปข้างหน้าข้างหลังข้างซ้ายข้างขวาเบื้องบนเบื้องต่ำไม่หนีจากที่นี้ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ วิญญูชนทั้งหลายผู้ปฏิบัติธรรม จงรู้แจ้งรู้จริงอยู่ในจิตใจของตนนี้ให้ได้ จึงชื่อว่า สาวโก สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านภาวนาทำความเพียรละกิเลส

          เราทุกคนผู้เป็นสาวกในทางพุทธศาสนา ก็ให้เลิกละ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ลงไปสู่จุดดวงรู้อยู่ในจิตใจนั้นให้ได้ ไม่ได้ไม่ต้องถอย เอาความเพียรเป็นที่ตั้ง นี่แหละเราท่านทั้งหลาย จงปฏิบัติบูชาภาวนาในจิตในใจให้มันแน่นแน่เด็ดขาดลงไป ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาละเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง

Siam Class : บันทึกสำหรับคนชอบสะสม แสตมป์ (Stamps)