วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วัฏฎสงสาร ๓๑ ภูมิ


วัฏฎสงสาร

๓๑ ภูมิ

ภูมิแห่งการเวียนว่ายตายเกิดใน โลกเบื้องสูง โลกเบื้องกลาง และโลกเบื้องต่ำ

ภูมิพ้นโลก
ประกอบด้วย  โสดาบันโลกุตรภูมิ สกทาคามีโลกุตรภูมิ อนาคามีโลกุตรภูมิ อรหัตโลกุตรภูมิ
  • โสดาบันโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๑) ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยบุคคลโสดาบัน แบ่งเป็น
    ๑. เอกพิธีโสดาบัน  จะเกิดอีกชาติเดียว แล้วก็บรรลุพระอรหัตผล  ปรินิพพาน
    ๒. โกลังโกลโสดาบัน  จะเกิดอีก ๒-๖ ชาติ เป็นอย่างมากแล้วก็บรรลุพระอรหัตผล  ปรินิพพาน
    ๓. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน  จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็บรรลุพระอรหัตผล  ปรินิพพาน
  • สกทาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๒) ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยบุคคลสกทาคามี ซึ่งจะเกิดอีกเพียงชาติเดียว แบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
    ๑. ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลก และบรรลุพระอรหัตผลในมนุษยโลก
    ๒. ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลกแล้วไปบรรลุพระอรหัตผลในเทวโลก
    ๓. ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกและบรรลุพระอรหัตผลในเทวโลก
    ๔. ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกแล้วมาบรรลุพระอรหัตผลในมนุษยโลก
    ๕. ผู้ถึงภูมินี้ใน มนุษยโลกแล้วจุติไปเกิดในเทวโลกแล้วกลับมาบรรลุพระอรหัตผลในมนุษยโลก
  • อนาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๓) ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีก แบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
    ๑. อันตราปรินิพพายี สําเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งแรกของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่
    ๒. อุปหัจจปรินิพพายี สําเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งหลังของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่ 
    ๓. อสังขารปรินิพพายี สําเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยสะดวกสบายไม่ต้องใช้ความเพียรมาก
    ๔. สสังขารปรินิพพายี สําเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานใน พรหมโลก โดยต้องพยายามอย่างแรงกล้า
    ๕. อุทธังโสตอกนิฏฐคามี ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก ชั้นต่ำที่สุด (อวิหาสุทธาวาสพรหมโลก) แล้วจึงจุติไปเกิด ชั้นสูงขึ้นไปตามลําดับ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี แล้วสําเร็จเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในอกนิฏฐพรหมโลก
  • อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด) มี ๒ ประเภท
    ๑. เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสสนา กรรมฐานต่อจนสําเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฏิบัติเฉพาะวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ สามารถ แสดงฤทธิ์ได้
    ๒. ปัญญาวิมุตติ สําเร็จพระอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วน ๆ ไม่ได้บําเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่า สุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทําให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะ สิ้นกิเลสโดยตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ สามารถเข้าอรหัตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่าย ตายเกิดอีกในวัฏสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน 
โลกเบื้องสูง ประกอบด้วย ปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ ตติยฌานภูมิ ๓ และพรหมภูมิตั้งแต่ ชั้นที่ ๑๐ - ๒๐  แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์
  • พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหาพรหม พระพรหม อายุ ๒๑ อันตรกัปเศษ บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จปฐมฌานได้อย่างสามัญ
  • พรหมปุโรหิตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ทรงฐานะอัน ประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม พระพรหม อายุ ๓๒ อันตรกัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จได้ปฐมฌานอย่างปานกลาง
  • มหาพรหมาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๓ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระพรหม อายุ ๑ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จปฐมฌานได้อย่างประณีต
  • ปริตตาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๔ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งท่านพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีน้อยกว่า พระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน พระพรหม อายุ ๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิด ในชั้นนี้ได้ต้องสําเร็จทุติยฌานได้อย่างสามัญ
  • อัปปมาณาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๕ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีรุ่งเรือง มากมายหาประมาณมิได้ พระพรหม อายุ ๔ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จ ทุติยฌานได้อย่างปานกลาง
  • อาภัสสราภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๖ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีประกายรุ่งโรจน์แห่ง รัศมีนานาแสง พระพรหม อายุ ๘ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จทุติยฌาน ได้อย่างประณีต
  • ปริตตสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๗ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงาม แห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย พระพรหม อายุ ๑๖ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จ ตติยฌานได้อย่างสามัญ
  • อัปปมาณสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๘ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสวยงามแห่ง รัศมีมากมายไม่มีประมาณ พระพรหม อายุ ๓๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดใน ชั้นนี้ได้ต้องสําเร็จตติยฌานได้อย่างปานกลาง
  • สุภกิณหาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๙ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงาม แห่งรัศมีที่ออกสลับปะปนไปอยู่เสมอตลอดสรีระกาย พระพรหม อายุ ๖๔ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ ต้องสําเร็จตติยฌานได้อย่างประณีต
  • เวหัปผลาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๐ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌาน กุศลอย่างไพบูลย์ พระพรหม อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่เจริญสมถภาวนาสําเร็จ จตุตถฌาน
  • อสัญญสัตตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา (พรหมลูกฟัก) อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสําเร็จจตุตถฌาน และเป็น ผู้มีสัญญาวิราคภาวนา
  • อวิหาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๒ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติของตน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญ สมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสําเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมี สัทธินทรีย์แก่กล้า
  • อตัปปาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๓ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือดร้อน พระพรหมอนาคามี อายุ ๒,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสําเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีวิริยินทรีย์แก่กล้า
  • สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๔ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคล ทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใส พระพรหมอนาคามี อายุ ๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาณและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสําเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีสตินทรีย์แก่กล้า
  • สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๕ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคล ทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า พระพรหมอนาคามี อายุ ๘,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาณ และเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสําเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีสมาธินทรีย์แก่กล้า
  • อกนิฏฐาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๖ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคล ทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความเป็นรองกัน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑๖,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาณและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสําเร็จ เป็นพระอนาคามี อริยบุคคล โดยมีปัญญินทรีย์แก่กล้า
  • อากาสานัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๗ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ ซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้จตุตถฌานแล้ว และสําเร็จ อากาสานัญจายตนฌาน
  • วิญญาณัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๘ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยวิญญาณ อันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้อากาสานัญจายตนฌาน และสําเร็จวิญญาณัญจายตนฌาน
  • อากิญจัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๙ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้วิญญาณัญจายตนฌาน และสําเร็จอากิญจัญญายตนฌาน
  • เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒๐ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่งมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ อรูปพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษี ผู้ได้อากิญจัญญายตนฌาน และสําเร็จเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
โลกเบื้องกลาง 
ประกอบด้วย โลกมนุษย์ ๑ กับ เทวภูมิ ๖ แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๘๒,๐๐๐ โยชน์
อายุมนุษย์สมัยพระพุทธองค์ ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์ในปัจจุบัน ๗๕ ปี
  • มนุษยภูมิ เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูงในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม แบ่งเป็น ๔ จําพวก คือ
    ๑. ผู้มืดมาแล้วมืดไป บุคคลที่เกิด ในตระกูลอันต่ำ ยากจน ขัดสน ลําบาก ฝืดเคืองอย่างมากในการหาเลี้ยงชีพ มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ เช่น มีอาหารและน้ำน้อย มีเครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมอง หรือมีร่างกายไม่สมประกอบ บ้าใบ้ บอด หนวก หาที่นอน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ไม่ใคร่ได้ และเขากลับประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
    ๒. ผู้มืดมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ผิวพรรณหยาบ ฯลฯ แต่เป็นเขาเป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตระหนี้ เป็นคนมีความดําริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะชีพราหมณ์ หรือวณิกพกอื่นๆ ย่อมสําเนียกในกริยามารยาทเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กําลังจะให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    ๓. ผู้สว่างมาแล้วมืดไป เป็นบุคคลผู้อุบัติเกิดในตระกูลสูง เป็นคนมั่งคั่งมั่งมี มีโภคสมบัติมาก เป็นผู้มีปัจจัย ๔ อันประณีต ทั้งเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วน สะสวย งดงาม ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี้ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ กรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักจึงโกรธ ย่อมด่า ย่อมบริภาษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งมารดาบิดา สมณชีพราหมณ์ ย่อมห้ามคนที่กําลังให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
    ๔. ผู้สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่อุบัติเกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณงาม และเขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุพกรรม กรรมของมนุษย์ที่ทําในกาลก่อน ส่งผลให้มีปฏิปทาต่างกัน เช่น บางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนจน บางคนมีปัญญา บางคนเขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ ปฏิปทาให้มีอายุสั้น เพราะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้าย มักคร่าชีวิตสัตว์ ปฏิปทาให้มีอายุยืน เป็นผู้เว้นขาดจากการทําชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป มีความละอาย เอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลสรรพสัตว์และภูตอยู่
ปฏิปทามีโรคมาก เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตราอาวุธต่างๆ ปฏิปทามีโรคน้อย ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ หรือศาสตราอาวุธต่างๆ มีมีด ขวาน ดาบ ปืน เป็นต้น ปฏิปทาให้มีผิวพรรณทราม เป็นคนมักโกรธ มากไปด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจโกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทําความโกรธ ความร้ายและความซึ้งเคียดให้ปรากฏ ปฏิปทาให้มีผิวพรรณงาม เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทําความโกรธความร้ายและความซึ้งเคียดให้ปรากฏ ปฏิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย คือเป็นคนมีใจริษยา มุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น ปฏิปทา ให้เป็นคนมีศักดามาก เป็นคนไม่มีใจริษยา ไม่มุ่งร้าย ยินดีด้วยในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น ปฏิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอนที่อาศัย เป็นต้น ปฏิปทาให้มีโภคะมาก ชอบให้ทานมีอาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ของหอม ที่นอนที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือชีพราหมณ์ เป็นต้น ปฏิปทาให้เกิดในตระกูลต่ํา เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่ควรให้ ไม่ให้ทางแก่คนที่ควรให้ทาง เป็นต้น ปฏิปทาให้เกิดในตระกูลสูง เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน วจีไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ รู้จักยืนเคารพ ยืนรับ ยืนคํานับ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ สักการะแก่คนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เป็นต้น ปฏิปทาทําให้มีปัญญาทราม คือเป็นผู้ไม่เคยเข้าไปหาบัณฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็นต้น  ปฏิปทาทําให้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มักเข้าไปสอบถาม บัณฑิตสมณะหรือชีพราหมณ์ อะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรเมื่อทําลงไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน อะไรเมื่อทําไปแล้วย่อมเป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ดังนี้
  • จาตุมหาราชิกาภูมิ (สวรรค์  ชั้นที่ ๑)  เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า  มีท้าวมหาราช  ๔  พระองค์ปกครอง คือ 
    ๑.  ท้าวธตรัฐมหาราช 
    ๒.  ท้าววิฬุหกมหาราช 
    ๓.  ท้าววิรูปักษ์มหาราช 
    ๔.  ท้าวเวสสุวัณมหาราช  (ท้าวกุเวร)  อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์  ( ๙ ล้านปีมนุษย์)  บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์  ชอบทำความดี  สันโดด  ยินดีแต่ของๆตน  ชักชวนให้ผู้อื่นประกอบการกุศล  ชอบให้ทาน  ในการให้ทานเป็นผู้มีความหวังให้ทาน  มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน  มุ่งการสั่งสมให้ทาน  ให้ทานด้วยความคิดว่า  "เราตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้"  เป็นผู้มีศีล ฯลฯ
  • ตาวติงสาภูมิ  (สวรรค์  ชั้นที่ ๒)     ที่เรียกว่าไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์   เป็นเมืองใหญ่ มี    ๑,๐๐๐   ประตู   มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์   มีไม้ทิพย์ชื่อปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๖ ล้านปีมนุษย์)    บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ยินดีในการบริจาคทาน   ในการให้ทาน    เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน    ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้     ไม่มุ่งการสะสมให้ทาน   ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า   “ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้”  แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำดี” งดงามด้วยพยายามรักษาศีลไม่ดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ
  • ยามาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๓) เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์ มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๒,๐๐๐ปีทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยายามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบําเพ็ญบุญกุศล ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทําที่ดี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทํามา เราก็ไม่ควรทําให้เสียประเพณี” รักษาศีล มีจิตขวนขวายในพระธรรม ทําความดีด้วยใจจริง
  • ตุสิตาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๔) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทํามา เราไม่ควรทําให้เสียประเพณี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนา หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ
  • นิมมานรดีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๕) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าวสุนิมมิตเทวราช ปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทาน ด้วยความคิดว่า “เราหุงหากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักจําแนกแจกทานเช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายในกาลก่อน” ประพฤติธรรมสม่ําเสมอ พยายามรักษาศีล ไม่ให้ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงเท่านั้น จึงอุบัติ เกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
  • ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๖) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น ฝ่ายเทพดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราช ปกครอง กับ ฝ่ายมาร มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็น มนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฎ์ อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบําเพ็ญ กันอย่างจริงๆ มากไปด้วยศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทาน แล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักเป็นผู้จําแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายแต่กาลก่อน” แต่ให้ ทานด้วยความคิดว่า “เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส” เพราะวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงยิ่ง เท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
โลกเบื้องต่ำ 
ประกอบด้วย อบายภูมิ ๔ ได้แก่  นรก  เปรต  อสุรกาย  เดรัจฉาน
  • ติรัจฉานภูมิ (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุ ๓ ประการ คือ การกิน การนอน การสืบพันธุ์
    แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
    - อปทติรัจฉาน (ไม่มีเท้า ไม่มีขา) เช่น งู ปลา ไส้เดือน ฯลฯ
    - ทวิปทติรัจฉาน (มี ๒ ขา) เช่น นก ไก่ ฯลฯ
    - จตุบทติรัจฉาน (มี ๔ ขา) เช่น วัว ควาย ฯลฯ
    - พหุปทติรัจฉาน (มีมากกว่า ๔ ขา) เช่น ตะขาบ กิ่งกือ ฯลฯ อายุ ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่นําไปเกิดในสัตว์ประเภทต่างๆ ตามอายุของสัตว์ประเภทนั้นๆ บุพกรรม เป็นมนุษย์จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอกุศลกรรม อันหยาบช้าลามกทั้งหลาย หรือเพราะอํานาจของเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทําไว้ให้ผล หรือเป็นเพราะเมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมทําชั่วอะไร แต่เวลาใกล้จะตายจิตประกอบด้วยโมหะ หลงผิด ขาดสติ ไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งจะยึดให้มั่นคง คตินิมิต นิมิตที่ชี้บอกถึงโลกเดรัจฉานที่ตนจะไป เช่น เห็นเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้ำ แม่น้ำ กอไผ่ และภูเขา เป็นต้น บางที่เห็นเป็นรูปสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ้งจก ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจ แล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์เมื่อดับจิตตายขณะนั้นต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน
  • อสุรกายภูมิ (โลกอสุรกาย) ภูมิอันเป็นที่อยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
    - เทวอสุรา
    - เปตติอสุรา นิรยอสุรา
    - เทวอสุรา มี ๖ จําพวก คือ
    ๑. เวปจิตติอสุรา
    ๒. สุพลือสุรา
    ๓. ราหูอสุรา
    ๔. ปหารอสุรา
    ๕. สัมพรตีอสุรา
    ๖. วินิปาติกอสุรา
    ๕ จําพวกแรกเป็นปฏิปักษ์ต่อเทวดาชั้นตาวสิงสา อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ สงเคราะห์เข้าในจําพวกเทวดาชั้นตาวติงสา ส่วนวินิปาติกอสุรา มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอํานาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษยโลกทั่วไป เช่น ตามป่า ตามเขา ต้นไม้ และศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของภุมมัฏฐเทวดาทั้งหลาย แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฏฐเทวดาเท่านั้น สงเคราะห์เข้าในจําพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกา
    เปตติอสุรา มี ๓ จําพวก คือ
    ๑. กาลกัญจิกเปรตอสุรา
    ๒. เวมานิกเปรตอสุรา
    ๓. อาวุธิกเปรตอสุรา เป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่าง ๆ นิรยอสุรา เป็นเปรตจําพวกหนึ่งที่เสวย ทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสาม อสุรกายนี้หมายเอาเฉพาะกาลกัญจิกเปรตอสุรกายเท่านั้น อายุและบุพกรรม เช่นเดียวกันกับโลกเปรต
  • เปตติวิสยภูมิ (โลกเปรต) โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแล อายุ ไม่แน่นอนแล้วแต่กรรม ได้แก่ เปรต ๑๒ ชนิด คือ
    ๑. วันตาสเปรต กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร 
    ๒. กุณปาสเปรต กินซากศพคน หรือ สัตว์เป็นอาหาร
    ๓. คูถขาทุกเปรต กินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร 
    ๔. อัคคิชาลมุขเปรต มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ 
    ๕. สูจิมขาเปรต มีปากเท่ารูเข็ม 
    ๖. ตัณหัฏฐิตเปรต ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ 
    ๗. สุนิชฌามกเปรต มีลําตัวดําเหมือนตอไม้เผา 
    ๘. สัตถังคเปรต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด 
    ๙. ปัพพตั้งคเปรต มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา 
    ๑๐. อชครั้งคเปรต มีร่างกายเหมือนงูเหลือม 
    ๑๑. เวมานิกเปรต ต้องเสวยทุกข์ ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน 
    ๑๒. มหิทธิกเปรต มีฤทธิ์มาก   

    ที่อยู่ เชิงภูเขาหิมาลัยในป่าวิชฌาฏวี เปรต ๔ ประเภท คือ
    ๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต มีการ เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้
    ๒. ขุปปิปาสิกเปรต ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าว หิวน้ำ 
    ๓. นิชฌามตัณหักเปรต ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ 
    ๔. กาลกัญจิกเปรต (ชื่อของอสูรกายที่เป็นเปรต) มีร่างกายสูง ๓ คาวุต มีเลือดและเนื้อน้อยไม่มีแรง  มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมีปากเท่ารูเข็มตั้งอยู่กลางศีรษะ เปรต ๒๑ จําพวก คือ มังสเปสิกเปรต มีเนื้อเป็นชิ้น ๆ ไม่มีกระดูก กุมภัณฑ์เปรต  มีอัณฑะใหญ่โตมาก  นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง  ทุกคันธเปรต มีกลิ่นเหม็นเน่า  อสีสเปรต ไม่มีศีรษะ  ภิกขุเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ  สามเณรเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณร ฯลฯ  บุพกรรม ประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตาย จากมนุษยโลก หากอกุศลกรรมสามารถนําไปสู่นิรยภูมิได้ ต้องไปเสวยทุกขโทษในนรกก่อน พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไปเสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง หรือ มีอกุศลกรรมที่เกิดจากโลภะนํามาเกิด คตินิมิต นิมิตที่บ่งบอกถึงโลกเปรต เช่น เห็นหุบเขา ถ้ำอันมืดมิดที่วังเวง และปลอดเปลี่ยว หรือเห็นเป็นแกลบ และข้าวลีบมากมาย แล้วรู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำเป็นกําลัง บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้ำหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน หรือเห็นเป็นเปรตมีร่างกายผ่ายผอมน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรกรุงรัง ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มาปรากฏทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายขณะนั้น ต้องบังเกิดเป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่างแน่นอน
โลกนรก 
ประกอบด้วย มหานรก ๘ ขุม  อุสสทนรก  ๑๒๘  ขุม  ยมโลกนรก  ๓๒๐  ขุม  โลกันตร์นรก  ๑  ขุม รวม ๔๕๗  ขุม
  • มหานรก ๘ ขุม แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์

    ๑.สัญชีวนรก นรกที่สัตว์นรกไม่มีวันตาย อายุ ๕๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตไม่บริสุทธิ์ หยาบช้าลามก ก่อกรรมทําเข็ญ เช่นฆ่าเนื้อ เบือสัตว์ เบียดเบียนบุคคลที่ต่ํากว่าตน โดยความไม่เป็นธรรมให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นนิจ ฯลฯ

    ๒.กาฬสุตตนรก นรกที่ลงโทษด้วยเส้นเชือกดํา แล้วก็ถากหรือตัดด้วยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๓๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ทําการทรมานสัตว์ด้วยการตัดเท้า หู ปาก จมูก ฯลฯ ทําร้ายบิดามารดา ครู อาจารย์ ฯลฯ เบียดเบียนหรือฆ่าภิกษุ สามเณร ดาบส หรือเป็นเพชฌฆาต

    ๓.สังฆาฏนรก นรกที่มีภูเขาเหล็กใหญ่มีไฟลุกโพลงบดขยี้สัตว์นรก อายุ ๒,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็น มนุษย์มีใจบาปหยาบช้าด้วยใจอกุศลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทําทารุณกรรมสัตว์ด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นประจํา หรือบุคคลที่ทรมานเบียดเบียนสัตว์ ที่ตนใช้ประโยชน์ และพวกนายพราน

    ๔.โรรุวนนรก (ธูมโวรุวหรือจูฬโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องให้ครวญครางดังของสัตว์นรกที่ถูกควันไฟอบอ้าว อายุ ๔,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปเผาสัตว์ทั้งเป็น ตัดสินความไม่ยุติธรรม รุกที่ดิน เอาสาธารณสมบัติมาเป็นของตน กินเหล้าเมา ประทุษร้ายผู้อื่น ชาวประมง คนที่เผาป่าที่สัตว์อาศัยอยู่

    ๕.มหาโรรุวนรก (ชาลโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องให้ครวญครางดังกว่าโรรุวนรก อายุ ๘,๐๐๐ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ตัดคอสัตว์และมนุษย์ ฆ่าสัตว์ด้วยความโกรธ ปล้น ขโมยทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และของศาสนา เช่น ของภิกษุ สามเณร ดาบส แม่ชี และสิ่งของเครื่องสักการะ ที่เขาบูชาพระรัตนตรัย ปล้นโกงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน

    ๖.ตาปนนรก (จูฬตาปน) นรกที่ทําให้สัตว์เร่าร้อน ด้วยการให้นั่งตรึงติดอยู่ในหลาวเหล็กอันร้อนแดงแล้วให้ไฟไหม้อยู่ อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ประกอบกรรมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ และคนที่เผาบ้าน เมือง กุฏิ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ปราสาท ทําลายเจดีย์

    ๗.มหาตาปนนรก (ปตาปน) นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ อายุ ครึ่งอันตรกัปของมนุษย์ บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป หนาไปด้วยอกุศลมลทิน เช่น ประหารคนหรือประหารสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มาก ๆ ไม่คํานึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน และคนที่มีอุจเฉททิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ นัตถิกทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ และอกิริยทิฏฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง

    ๘.อเวจีนรก นรกที่ปราศจากคลื่นคือความบางเบาแห่งความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อันตรกัปของมนุษย์ บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทําอนันตริยกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทําร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทําสังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกกัน และบุคคลที่ทําลายพุทธเจดีย์ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้โดยจิตคิดประทุษร้าย บุคคลที่ติเตียนพระอริยบุคคลพระสงฆ์ผู้มีคุณแก่ตน ผู้ที่ยึดถือนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓
  • อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม อยู่รอบๆ ทิศ ๔ ทิศๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละขุม

    ๑.คูถนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนาอยู่ในนรกอุจจาระเน่า โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อ และกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมด จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

    ๒.กุกกุฬนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนา ละเอียดเป็นจุณ จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตนโดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อย

    ๓.สิมปลิวนนรก สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีเศษอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้ว ก็ยังไม่หลุดพ้น ยังต้องเสวยทุกข์จากนรกป่าไม้จิ๋วต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

    ๔.อสิปัตตวนนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ และมีสุนัข แร้งคอยทรมานขบกัด กินเลือดเนื้อ จนกว่าจะสิ้นกรรม

    ๕.เวตรณีนรก สัตว์นรกที่เกิดมาได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบที่มีเครือหวายหนามเหล็ก ใบกลีบบัวหลวง เหล็กตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งคมเป็นกรด มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
  • ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม อยู่รอบๆ ๔ ทิศๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม

    ๑.โลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อน เสวยทุกขเวทนาอย่าง แสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทํามา บุพกรรม เช่นจับสัตว์เป็น ๆ มาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร

    ๒.สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิด ต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้ สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ

    ๓.อสินขะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรก เหล่านี้เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม เช่น เมื่อเป็นมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ๔.ตามโพทะนรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอก ด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม ด้วยผลกรรมที่ทําไว้ในชาติก่อน ๆ เป็นคนใจอ่อน มัวเมาประมาท ดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ

    ๕.อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกิน เข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม เช่น แสดงตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ ว่าจะนําไปทําบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทําบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทําบ้างไม่ทําบ้างตามที่อ้างไว้ หลอกลวงผู้อื่น

    ๖.ปิสสกปัพพตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียด จนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตน เป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎร ทําร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฎหมายกําหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย

    ๗.ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดก็ดื่มกินเข้าไป อํานาจของกรรมบันดาล ให้น้ำนั้นกลายเป็น แกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลําไส้ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทํามา บุพกรรม เช่น คดโกง ไม่มี ความซื่อสัตย์ ปน ปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ

    ๘.สีตโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไปจนสิ้นกรรมชั่ว ของตน บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็น ๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็น ๆ ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทําให้ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ

    ๙.สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวกคือ หมานรกดํา หมานรกขาว หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่าง ๆ และยัง มีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกสุนัข แจ้งกา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่าง ๆ ได้รับทุกขเวทนาจาก ผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็น ผู้เฒ่าผู้แก่ ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร

    ๑๐.ยันตปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทก ได้รับทุกขเวทนา แสนสาหัส ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน บุพกรรม เช่น เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ค่าตีคู่ครองด้วย ความโกรธ แล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ
โลกันตร์ : โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น ที่ตั้ง อยู่ระหว่าง โลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน คือ บริเวณช่องว่างของวงทั้ง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกขเวทนาเป็นเวลา ๑ พุทธันดร จากผลกรรมชั่ว เช่น ทรมานประทุษร้ายต่อบิดามารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือทําปาณาติบาต เป็นอาจิณ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น

หนังสืออ้างอิง : 
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ปรมัตถโชติกะ (ปริเฉทที่ ๕ เล่ม ๑) โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์ กรุงเทพฯ. ๒๕๔๐
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) มุนีนาถทีปนี สํานักพิมพ์ดอกหญ้า กรุงเทพฯ. ๒๕๓๙
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ภูมิวิลาสินี สํานักพิมพ์ดอกหญ้า กรุงเทพฯ ๒๕๔๐
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) กรรมทีปนี สํานักพิมพ์ดอกหญ้า กรุงเทพฯ, ๒๕๕๕
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) โลกทีปนี สํานักพิมพ์ดอกหญ้า กรุงเทพฯ. ๒๕๕๕
บุญชู ศรีมุษิกโพธิ์ (มศว. ประสานมิตร) วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรม ภาษาไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ กรุงเทพฯ. ๒๕๔๖
วัฏฎสงสาร ๓๑ ภูมิ : พระสมบุญ วราสโย , ฉบับปรับปรุง ๑ ต.ค. ๒๕๔๖

หมายเหตุ : แผนภูมินี้ไม่ได้แสดงรูปร่าง ขนาดของภูมิต่างๆ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Siam Class : บันทึกสำหรับคนชอบสะสม แสตมป์ (Stamps)