วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน (๑)

 หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร  วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่



อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน (๑)

https://youtu.be/jxJxmv6jsxc



ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


การฟังธรรมกัณฑ์นี้ให้พากัน กำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองให้ได้ คนเรามักจะลืมตัวว่าตัวเรานี่ก็มั่นคงถาวร เหมือนจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ไข้ และไม่ตาย ดูกิเลสในหัวใจมันดิ้นรนวุ่นวาย เพราะไม่เห็นอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน ของตัวเอง ฉะนั้นในเวลานี้ให้ปล่อยวางอารมณ์ฟุ้งซ่านต่างๆนานา ไม่ต้องนึกอะไร เพ่งอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง ให้กำหนดในจิตในใจนี่ว่า ตัวเรานี่มันตายไปแล้วนาน   แต่บัดนี้กระดูกยังต่อกันอยู่ ให้มองทะลุเข้าไปถึงกองกระดูก ว่ากระดูกนี้พระพุทธเจ้าพระองค์นับได้ 300 ชิ้น 300 ท่อน แต่หมอแพทย์แผนปัจจุบันนับไม่ถึง เพราะว่าเขานับแต่กระดูกที่แข็งกระดูกอ่อนเขาไม่ได้นับ จึงไม่ถึง 300 ท่อน 


  เวลานี้ให้เราเพ่งดูที่กระบอกตาของเรา ไม่ต้องมองให้เห็นเป็นลูกตา คือมองให้เป็นกระดูกเข้าไปกระบอกตานี้โหว่เข้าไปทั้ง2ข้าง ตาที่เราเห็นอยู่ธรรมดาไม่มีก็มันตายยังเหลือแต่กระดูกแล้วกระบอกตานี้คล้ายกันกับเปลือกไข่ที่เขาทำเอาไปทำอาหาร แล้วมันยังเหลือโหว่ของมัน กระดูกตาคนเรากระบอกตาก็เหมือนอย่างนั้น ทำใจให้แน่วแล้วก็เพ่งเข้าไปที่กระบอกตาของตัวเอง จะเห็นว่ากระบอกตานี้มันไม่น่าดูแล้วถ้าจิตของผู้ใดดูกระบอกตาทั้งสองข้าง ที่เขาว่าผีหลอกตอนนี้แหละ ถ้าเราดูให้เห็นมันผีหลอกชัดๆเพราะว่าลูกตาก็ไม่มีหนังตาก็ไม่มี มันโหว่เข้าไป ลึกเข้าไปในกะโหลกศีรษะ แสดงให้เราเห็นว่าผีหลอกทั้งกลางวันกลางคืน ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่มันก็มีมาแล้วตั้งแต่เป็นทารก จนถึงวัยหนุ่มมันก็ผีหลอกทั้งนั้น จนแก่ชราก็ตานี่ก็เมื่อใดตายหมดลมหายใจ เขาไปเผาไฟกระบอกตานี้จึงจะเป็นเถ้าเป็นถ่านไป ดูให้เห็นให้เข้าใจอันถูกต้องที่เราเห็นว่าตาดีตางาม มันเป็นความเห็นผิด ดูตาของตัวเองให้เห็นให้เข้าใจ แล้วมองดูเมื่อใดเวลาใดก็ให้เห็นเป็นกระบอกตา เมื่อเห็นคนก็ให้ทะลุเข้าไปถึงคนที่เราเห็นหน้านั้นก็เห็นกระบอกตาเข้าไปด้วยจะได้ถอนคำว่าสวยว่างามที่จริงมันก็กระบอกตาผีหลอกอยู่ทุกวันเวลานี้ก็ยังโง่เขลาเบาปัญญา ยังให้ผีหลอกต่อมาจนบัดนี้ แล้วผีหลอกนี่มันเป็นตลอดต่อไปจนถึงวันตาย ถ้าไม่ได้ปัญญาญาณอันวิเศษละกิเลสให้หมดไปสิ้นไปแล้ว มันก็จะหลอกลวงเราท่านทั้งหลาย 


ต่อลงมากระดูกแก้มกระดูกแก้มมันโต ขึ้นไปหน่อยทั้ง 2 ข้างก็ดูให้ให้เห็นให้เข้าใจ แล้วก็กระดูก ดั้งจมูก จมูกก็ไม่ให้เห็นเป็นเนื้อหนังถ้าเห็นกระดูกแล้วก็จะเป็นรูเข้าไป 2 ช่อง กระดูกแก้มกระดูกจะมาดั้งจมูกก็เป็นของไม่งาม ต่อลงมาอีกกับกระดูกคางข้างบนกระดูกคางข้างบน นี้ก็จะมีฟันมีเขี้ยวมีฟันเป็นซี่ ว่าคนยังไม่แก่ก็มีฟันเต็มข้าง ข้างบนนี้ถ้าคนไหนแก่แล้วก็จะไม่มีฟันเหลืออยู่เหลือแต่กระดูกหักกระดูกคางข้างบนนี้ มีไว้สำหรับ บดเคี้ยวอาหาร สมัยที่คนเรายังไม่ตายยังไม่เหลือแต่กระดูกเมื่อเหลือแต่กระดูกนี้แล้วก็ให้เห็นว่า กระดูกคางข้างบน ตั้งแต่ก็กระบอกตาลงมา จนถึงกระดูกคางข้างบนนี่ ไม่ใช่ของสวยของงามที่เราเห็นว่าลิ้นเป็นสัตว์ที่ขี้อายขี้เหร่แต่ถ้าเราดูกระดูกคางของเราแล้วมันก็ร้ายกว่าลิ้นอีกเรียกว่าผีหลอกตลอดเวลา คางข้างบนนี้ก็มีคางข้างล่างอีกข้างข้างล่างนี่ก็มีมันมีเขี้ยวอยู่เหมือนกันคางข้างล่าง ข้างบนนี้มีไว้สำหรับบดเคี้ยวอาหารสมัยที่คนเรายังไม่แตกไม่ตาย ยังมีชีวิตชีวาก็คือว่าข้างบนกับข้างล่างนี่แหละมันเป็นครกเป็นสาก บดเคี้ยวอาหารแล้วจึงกลึนลงไปในลำคอไปกระเพาะอาหาร สมัยที่ยังไม่ตายถ้าตายแล้วก็ยังเหลือแต่กระดูกอย่างนี้แหละ เมื่อมามองเห็นคางบนข้างล่างมันเป็นครกเป็นสาก แต่ว่าครกสากคางข้างบนข้างล่างนี่มันไม่ตำลงไปเหมือนพ่อครัวแม่ครัวตำน้ำพริก แม่ครัวทำน้ำพริก ยกขึ้นบนแล้วมันตำลงไปแต่ว่าทางนี้ตามข้างล่าง ถ้าหากผู้ใดสังเกตได้ในเวลาที่บดเคี้ยวอาหารจะเห็นว่าคางข้างล่างแกว่งขึ้นแกว่งลงอยู่อย่างนั้นเองหรือถ้าดูของตัวไม่เห็นดูคนแก่ชรา เวลาเขาบริโภคอาหารเพราะว่าเนื้อหนังมันเหี่ยวแห้งเข้าไป จะมองเห็นคางข้างบนข้างล่างมันกระทบกัน และแแหว่งร่องแร่งล่องแล่งให้คนเอาตาภายนอกมองก็เห็นนี่แหละ



ให้ดูความจริงของอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ถ้ากำหนดมาถึงนี่ก็จะเห็นว่าไม่งามจริงๆมันหลอกลวงให้ลุ่มหลงมัวเมามาตั้งแต่อดีตชาติภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว เจ้าสังขารกิเลศมารเจ้าอวิชชาตัณหาพาให้คนเราและสัตว์โลกทั้งหลาย หลงมัวเมาอยู่ในกองกระดูกเมื่อดูตั้งแต่ก็บอกตากระดูกแก้มกระดูกดั้งจมูก ฟันเป็นที่ซี่ๆ คางข้างบนข้างล่างและฟัน ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก็ให้รวมว่าไม่ใช่เป็นของสวยของงามเป็นของน่าเกลียดน่ากลัวด้วย ถ้าเวลามันโกรธทำไมพี่มนุษย์ยังไม่ตายมันก็นี้แหละออกมาแสดงโทสะจริตก็คือกระดูกนั่นแหละมันโกรธ แต่ไม่ใช่ก็ดูแท้ จิตนะมันโกรธผิดหลงจิตไม่ภาวนาจิตไม่รักเลยความโกรธมันจึงแสดงบทบาท ให้เห็นฟันดุด่าว่าร้ายให้แก่กันและกัน 


ทีนี้กระดูกกะโหลกศีรษะเบื้องบนข้างซ้ายข้างขวาข้างหน้าข้างหลัง กะโหลกศีรษะนี้ก็ให้มองให้เห็นเป็นกระดูกแม้จะมีมันสมองอยู่ก็ไม่ให้เห็น ให้เห็นเป็นกระดูก กระดูกกะโหลกศีรษะมันจะเป็น สำหรับรักษามันสมองในสมัยที่คนเรามนุษย์เรายังไม่ตาย แล้วมันเข้ากันเป็นตลับหรือว่าเป็นเขี้ยวหมาตายเกาะกันอยู่ มองให้เห็นข้างบนข้างล่างข้างซ้ายข้างขวาข้างหน้าข้างหลังของกะโหลกศีรษะ กะโหลกศีรษะทั้งหมดแล้วไม่ใช่สวยงาม น่าเกลียดน่ากลัว มันไม่รู้สึกอะไร กระดูกนั้นมันไม่รู้ แต่ว่าจิตอวิชาตัญหามันมาใช้กะโหลกศีรษะ เมื่อมองดูกำหนดให้ดูลงไปกระดูกคอกระดูกคอก็เป็นท่อนท่อน แต่กระดูกคอนี้มีพิเศษอยู่ คือเลื่อนได้ไม่ใช่ตั้งไว้เฉยๆ เวลามนุษย์คนเราที่ยังไม่ตายเวลาจะดูข้างซ้าย-ขวาก็เลื่อนเอาที่กระดูกคอกระดูกคอนี่ต่อกับท่อนบนส่วนบนต่อกับกะโหลกศีรษะ ข้างล่างต่อกับกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังต่อลงไปแต่ก็เป็นกระดูกแขนกระดูกไหปลาร้ากระดูกแขนทั้งสองข้างแล้วก็กระดูกแขนท่อนบนแขนท่อนล่างมี 2 กระดูกมือกระดูกนิ้วมือเป็นข้อๆ 


มาถึงนี่ก็จะเห็นว่าอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน กำลังนั่งภาวนาอยู่ กระดูกนั่นแหละมันพานั่ง ถ้าไม่มีกระดูกนั่งอย่างนี้ไม่ได้มันจะกองลงในพื้นดิน ทีนี้กระดูกสันหลังกระดูกหน้าอกกระดูกนี้สมัยมนุษย์คนเรายังไม่ตายมันป้องกันรเครื่องในข้างในมันมีตับไตไส้พุงอาหารใหม่อาหารเก่าชีวิตคนเรามีอยู่ก็อาศัยเรื่องในนี่แหละหัวใจตับปอด เต็มไปหมดธรรมชาติมันก็สร้างโครงกระดูกสร้างกระดูกป้องกันเวลาอะไรมาถูกมันก็จะไม่ตายง่ายๆหรอกถ้าเข้าแรงๆมันตายได้เหมือนกันกระดูกข้างหัก หากขับรถประมาทรถคว่ำกระดูกหัก ก็บ่นว่ากระดูกไม่ดี ตัวเองไปประมาท กระดูกข้างเพราะมันออกออกจากข้างมาติดกับข้างกระดูกสันหลัง เขาก็ให้ชื่อว่ากระดูกหักมันอยู่ข้างๆกระดูกสันหลังก็เป็นท่อนๆต่อลงไป จนถึงกระดูกบั้นเอวกระดูกบั้นเอวก็เป็นท่อน เอาจิตจอดูใหม่ไม่ต้องนึกอะไร ดูในจิตว่ามันเป็นอย่างนี้ตั้งอยู่อย่างนี้ กระดูกบั้นเอวต่อกับกระดูกสะโพกกระดูก นี่เป็นที่ต่อของกระดูกขาท่อนบน เป็นบวกนิดหน่อยแล้วก็มารวมตั้งที่ตรงนั้น ทั้งสองข้าง ลงไปก็เป็นกระดูกเขา กระดูกเข่าคือกระดูกขาท่อนล่างบนล่างมันต่อกับกระดูกแข้งแล้วก็มีกระดูกสะบ้ากลมๆ เวลาสมัยมนุษย์ยังมีชีวิตชีวาอยู่กระดูกสะบ้ากระดูกอันนี้มันก็ช่วยไม่ให้หัวเข่าหักง่ายๆเวลายกของหนักแบกของหนักๆอะไรต่อมิอะไรมันแข็งแรงขึ้นทั้งสองข้างก็เหมือนกันแล้วกระดูกต้นกระดูกล่างตั้งอยู่บน หลังกระดูกแข้งเพราะชนล่างมันมันเข้ามันตั้งอยู่กับกระดูกเท้าแตกกระดูกแข้ง ก็เหมือนกันว่าช่วยค้ำจุน ไม่ให้มันหักง่ายๆ ธรรมชาติสร้างมาอย่างนั้นกระดูกเท้ามันไปเข้าไปตั้ง รูปนิ้วเท้าก็เป็นเป็นท่อนๆ ให้มันเห็นใจเห็นไม่เป็นคำพูดเห็น จิตดวงผู้รู้ให้รู้ว่านี่มันเป็นอย่างนี้ ตามความเป็นจริงแต่จิตที่ยังไม่เข้าใจ มันก็ค้านไม่เห็นแจ้งไม่เห็นจริงแจ้งไม่แจ้งตามให้กำหนดอยู่ทุกลมหายใจ แล้วก็ดูตั้งแต่กระดูกขึ้นมากระดูกนิ้วเข้าขึ้นมาตลอดจนกระดูก ก็ให้มอง เห็นภาพนั้น ถึงกระดูกเข่า กระดูกสะบ้า กระดูกขา กระดูกสะโพก กระดูกบั้นเอว กระดูกสันหลัง กระดูกหน้าอกกระดูกไหปลาร้า ทำไมถึงว่าเป็นกระดูกไหปลาร้า ถ้าหากว่าเอากระดูกคอออกแล้วเอาไว้แต่กระดูกแขนแล้วก็ตั้งไว้ เหมือนไหเหมือนหม้อที่เขาใส่ปลาร้าปลาลาบปลาเน่าปลาตาย เขาเอามาดองมาหมักใส่เกลือใส่อะไรแล้ว เขาเอาปากมันแคบไหปลาร้าหม้อปลาร้าปมันแคบเขาก็มีทำที่ปิดดี คนเราถ้าเอากระดูกคอออกไปแล้วตั้งไว้มันก็เหมือนไหปลาร้าเขาก็ให้ชื่อว่ากระดูกไหปลาร้าเหมือนหม้อหม้อปลาร้าไหปลาร้า กระดูกแขนกระดูกแขนกระดูกแขนท่อนล่างกระดูกมือกระดูกนิ้วมือเป็นข้อข้อ 


การกำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนนี่คือว่าเพ่งในจิตให้มันเห็น มันเห็นอย่างไรเราดูตามที่มันเห็นให้มันเห็นอยู่ตลอดเวลา เวลาร่างกายนั่งก็เห็นกระดูกนั่งกระดูก 300 ท่อนล่างอย่างนั่งภาวนาอยู่ ก็ให้เห็นโครงกระดูกมันนั่งภาวนา โครงกระดูกมันไม่ทุกข์ไม่ร้อนมันเป็นของแข็งเป็นธาตุหินธาตุเหล็กก็ว่าได้ จิตที่ไม่สงบจิตที่ไม่เห็นแจ้งในอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนมันก็วุ่นวาย ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็ วุ่นวายในจิต จิตมันกลัวมันไม่ชอบทุกขเวทนา มันชอบทุกขเวทนาจึงให้ชื่อว่าจิตหลงจิตอธิษฐานจิตตัณหาไม่ละกิเลสทานร่างกายจิตใจวุ่นวายไปในทางที่ไม่สงบ ไม่เห็นอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง ที่เราบริโภคอาหารกินข้าวก็กินไปเลี้ยงกระดูกนี่แหละ เลี้ยงกระดูก 300 ท่อนตั้งแต่เกิดจนตาย ตายแล้วก็กลับมาเอากระดูก 300 ท่อนอีกเกิดมาอีกก็ตายไปอีก แก่ชราก็ตายไปอีกแล้วก็กลับมาเอากระดูก 300 ท่อนนี่อย่างนี้ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ครั้ง เวียนอยู่อย่างนั้นเวียนอยู่อย่างนี้


เมื่อผู้กำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองเห็นแจ้ง ตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมาจนถึงกระดูกปลายมือปลายเท้า ที่แท้ก็คือว่า อัฐิกังกระดูก 300 ท่อนนั้นเอง จิตมาเป็นทุกข์เลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็คือเรื่องของกระดูกไว้นั่นเองเข้าใจว่ากองกระดูกมันจะไม่แตกไม่ทำร้ายแท้ที่จริงมันทำลายได้เกิดแล้วมันตายได้ทุกลมหายใจเข้าออกเขาเมื่อเกิดมาแล้วไม่ใช่อยู่อย่างนี้มันมีแก่ขึ้นเมื่อแก่ขึ้นหมดเขตมันก็แก่ลง มีขึ้นแล้วก็ดับไปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นอยู่อย่างนี้  จิตให้รู้เท่าทันว่าที่แท้ก็คืออัฐิกังกระดูก 300 ท่อนนั่นเอง เมื่อเดินท่านก็ให้ดูกระดูกมันเดินมาที่ไหนวิ่งก็ได้ยังเด็กยังหนุ่มมันก็วิ่งไปขึ้นสูงลงต่ำขึ้นต้นไม้ก็ได้อะไรก็ได้กระดูก 300 ท่อนมันไม่กลัวต่างหาก ส่วนกระดูก 300 ท่อนนี่มันเป็นเพียงธาตุกรรมฐาน อัฐิกังกระดูก 300 ท่อนเป็นธาตุกรรมฐานมองให้เห็นกำหนดให้ได้ ถ้าหากว่ากำหนดกระดูก 300 ท่อนตัวเองแล้วไม่เห็นอย่าไปกินข้าวกินแล้วปัญญาไม่เกิด แต่ดูของตัวเองมีอยู่ก็ไม่ดูไปดูกระดูกคนอื่นไปหลงรักหลงทางกระดูกคนอื่นเพราะไม่ดูกรรมฐาน อัฐิกังกระดูก 300 ท่อนให้พากันดูตัวเองอย่าไปดูคนอื่นให้โกรธให้ตัวเองว่ามาอยู่อาศัยเป็นสิบๆปีกระดูก 300 ท่อนของตัวเองก็ไม่รู้ไปหลงรักหลง เราเกลียดชังคนโน้นคนนี้ก็คือว่าจิตหลงไปเกลียดทางกระดูก 300 ท่อนตัวเราก็มีตัวคนอื่นก็เหมือนกัน เราไปเลียดไปชังกระดูก 300 ท่อด ฆ่าฟันแทงกันกระดูกมันไม่ว่า แต่ว่าบาปมันเป็นผู้ว่า ใครทำกระดูก 300 ท่อนของคนอื่นแตกดับตายไป บาปอันนั้นก็จะมาถึงตัว 

 

เมื่อบาปมาถึงตัว ก็บ่นเพ้อรำไรว่าข้าพเจ้าทำไมถึงได้รับแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนก็เพราะว่าไม่กำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง  จึงได้ทำบาปทางกาย ทางวาจาไม่รู้สึกตัว คิดบาปทางจิตใจไม่รู้สึกตัว ให้พากันแพ่งดูอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง  จนเห็นแจ้งตามความเป็นจริง เห็นแจ้งตามความเป็นจริงเมื่อใดเวลาไหน ใจนั้นมันก็ถอนถอนกิเลสความโกรธความอิจฉาความพยาบาดอาฆาตจองเวร ซึ่งกันและกันได้  ความหลงรักหลงชังก็จะหายไป โมโหก็จะลดน้อยถอยลงไปจนหมดสิ้น เพราะว่าที่แท้มัน อัฐิกังกระดูก 300 ท่อนเท่านั้นเอง จิตไม่ภาวนาดูมีแต่โลภมีแต่ความอยากมีแต่ตัณหากามตัญหาภวตัญหาวิภวตัญหาตัณหาทั้งสามประการมันเต็มหัวใจอยู่จึงไม่รู้ไม่ เห็นมีแต่โมโหโทโสฟุ้งซ่านรำคาญ เจ้าโทสะ เจ้าโมหะ เจ้าราคะ ตัณหา กระดูกตัวเองไม่รู้ไปดูกระดูกคนอื่นจงดูตัวปฏิบัติตัวเองก็คือรวมจิตใจเข้ามา อัฐิกังกระดูก 300 ท่อนมีหรือไม่  มีมันอยู่อย่างไรตั้งอยู่อย่างไรต้องดูกำหนดด้วยสติปัญญาของตัวเอง จะไปคิดแต่ว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ไม่รู้ไม่เห็นอย่างไร มันมาอยู่อาศัยมาหลงกินหลงนอนสนุกเฮฮาอยู่ในกองกระดูก เมื่ออยู่ในกองกระดูกทำไมไม่ดู ตามันบอดหรือ? หูมันตึงหรือ? จึงไม่ได้ยินเสียงธรรมคำสั่งสอน จมูกไม่มีหรือ ปากลิ้นไม่มีหรือ กายไม่มีหรือ กายก็คือกองกระดูกมันมีมาตั้งแต่ในท้องแม่ แต่อาศัยจิตอวิชา จิตตัญหา จิตโลเลฟุ้งซ่านรำคาญ พระเณรถ้าใกล้จะออกพรรษาก็โลเลโลเลจะไปนู่น โลเลจะไปนี้ จะไปกินเหนือกินใต้ อะไรต่อมิอะไรมันไปที่ไหนดูมัน มันก็ไปบนฟ้าไปใต้ดิน ไปในน้ำ แล้วไปๆมาๆภายใน 100 ปีมันก็ตาย ตายแล้วไปไหนก็ฝังดิน ถมแผ่นดิน ดินนั้นได้แต่มีแต่รายรับไม่มีรายจ่ายคนก็ตายแล้วก็ทั้งดินถมดินกระดูก 300 ท่อนก็ถมดินอยู่ในแผ่นดิน


  ฉะนั้นจิตใจเวลานี้เดี๋ยวนี้ขนาดนี้ มันตื่นนอนหรือยัง ลุกขึ้นภาวนาดูอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวหรือยังไม่ดูรีบตั้งใจขึ้นมาลุกขึ้น ถ้าง่วงเหงาหาวนอนถ้าเราอยู่ในกุฏิวิหารที่อยู่ของเราเดินจงกรม กลับไปกลับมา จะไปนั่งที่เศร้าเหงานอนอยู่ พากองกระดูก 300 ท่อนโง่เขลาเบาปัญญา พิจารณาอะไรไม่ได้กินได้นอน ได้เล่นหัวสนุกเพลิดเพลินได้ แต่จะกำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ก็อย่าไปมัวหลับหมดนอน  นั่งภาวนาเดินจงกรมดูอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน เบื้องบนแต่เข้าขึ้นมาตลอดกะโหลกศีรษะเบื้องต่ำแต่กะโหลกศีรษะตรงไป จนถึงกระดูกปลายมือปลายเท้ากระดูกนิ้วมือกระดูกนิ้วเท้า กำหนดพิจารณาอยู่ เห็นแจ้งอยู่ในจิตใจของตัวเอง ไม่ต้องไปบอกให้คนอื่นพิจารณาให้อยู่ในตัวในใจของเรานี่แหละ 


  ดูกระดูกของตัวเองจนเห็นทุกอิริยาบถ นั่งก็เห็นกระดูกนั่ง นอนเหยียดยาวอยู่ในเรือในหมอนกระดูกกระดูก 300 ท่อนเวลานอนตะแคงทับซ้ายเป็นอย่างไรกระดูก 300 ท่อน มันตะแคงขวาเป็นอย่างไรมันนอนคว่ำนอนหงาย ก็ดูกระดูก เห็นกระดูกมันนอน  นอนเดี๋ยวมันก็หลับหลับมาก็ตื่นๆก็ลุกขึ้นมาขึ้นมาก็หากิน หากินก็เอามาเลี้ยงกระดูก 300 ท่อน หนาวหน่อยก็ไม่ได้บ่น ร้อนหน่อยก็ไม่ได้บ่น เจ็บน้อยก็ไม่ได้บ่น ถ้าจะตายก็ร้องหาคนนั้นคนนี้ กระดูก 300 ท่อน มันแตกมันดับมันตายมันไม่ไปไหน ตายมันก็พอทับถมแผ่นดินนี่แหละ ในเมื่อเวลาอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ยังมีอยู่อย่าพากันประมาณระเริงหลงไหลไม่ได้ จิตใจผู้รู้อยู่ภายในต้องเป็นผู้ตื่นขึ้นลุกขึ้นทำจิตใจของตนให้แจ้งใสหมดจดสะอาดไม่ให้มีอันใดที่จะมาปิดบังตาของเราได้ ตาใจเพ่งกูเห็นคนก็เห็นกระดูก 300 ท่อน ไม่ว่าหญิงชายเด็กหนุ่มแก่มันก็ 300 ท่อนเหมือนกัน คนจะมากก็มากกระดูก 300 ท่อน คนน้อยก็น้อยกระดูก 300 ท่อน ตัวของคนเรานี้เป็นอย่างไรบุคคลอื่นก็เหมือนกัน


ผู้ใดไม่ใช่สติสมาธิปัญญาภาวนาดูอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองก็โง่เขลาเบาปัญญาอยู่อย่างนั้นแหละ มืดมนไม่แจ้งในความเกิดความแก่ความเจ็บความไข้ความตาย เพราะว่าอวิชชาแปลว่าความไม่รู้ วิชาแปลว่าความรู้ความแจ้งในจิตในใจ กำหนดอะไรก็แจ่มแจ้งในใจ การกำหนดกระดูกก็แจ้งในกระดูกกำหนดด้วยอะไรอาการ 32 ก็แจ้งชัดไปหมดผู้ตั้งมั่นก็รู้เห็นได้ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นปล่อยให้อำนาจกิเลศฝ่ายต่ำมาย่ำยีหัวใจ จนกระทั่งใจลุกขึ้นภาวนาพิจารณาอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนไม่ได้เสียใจมันก็เป็นทุกข์เป็นร้อนอยู่ ไปไหนมาไหนที่เราบ่นกันว่าทุกอย่างนั้นไม่สบายอย่างนี้ เหน็ตเหนื่อยเมื่อยหิวอย่างโน้นอย่างนี้ ขึ้นเขาลงเขาก็ไปติว่าหนทางหรือภูเขามันสูงมันต่ำมันสั้นอะไรความจริงภูเขาเขาไม่พูด กระดูก 300 ท่อนเขาก็ไม่พูด จิตมานะทิฐิ จิตไม่สงบ ไม่ภาวนา จิตใจไม่รู้ตัวไม่รู้กายไม่รู้ติดไม่รู้วาจา มันถึงพูดจนคิดจึงนึกอยู่ตลอดกาล นี้เจ้าตัณหาเจ้ามานะทิฐิสิ่งที่มีอยู่ดูไม่เห็น  ไปเห็นของภายนอกเห็นของภายนอกมีอะไร มันก็เกิดแก่เจ็บตาย ตายแล้วมันก็เน่าผุพังเหมือนๆกัน อะไรมันวิเศษกว่ากันไปไม่มี คนจะอยู่ในกรุงให้ต่างจังหวัดอยู่ที่ไหนชาติได้ภาษาใดก็ตาม ไม่ว่าฝรั่ง จีน ไทย ญี่ปุ่น ก็กระดูก 300 ท่อนเหมือนกัน เมื่อตายแล้วก็เน่าเหมือนกัน เมื่อเน่าแล้วกลิ่นเหม็นมันก็เหมือนๆกัน ไม่ว่าหญิงชายเด็กหนุ่มแก่ ตายเน่าเปื่อยแล้ว มีหนอนมีแมลงวันกินเท่านั้นเอง


ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจงดู อัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองให้เห็นแจ้ง ด้วยจิตใจของตัวเองไม่ใช่ว่าแจ้งแค่คำพูด หรือว่าเขียนหนังสือได้ มองให้มันเห็นกำหนดให้ไม่เห็นอย่าไปถอยความเห็น ที่มันไม่เห็นคือจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจิตสงบตั้งมั่นใสสว่างก็เห็นที่มันนั่งเฝ้านอนเฝ้ามาตั้งแต่เกิดจนใกล้จะตายอยู่ทุกลมหายใจเพราะไม่ดูไม่ภาวนา จึงไม่รู้ไม่เห็น ฉะนั้น อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน นี้ให้เราท่านทั้งหลายกำหนดจดจำนำไปพินิจพิจารณา จนเห็นแจ้งในธรรมะปฏิบัติ ก็คงได้รับความสุขความเจริญ ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาละเวลา เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้ 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Siam Class : บันทึกสำหรับคนชอบสะสม แสตมป์ (Stamps)