วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน (๒)

 หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร  วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่



อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน (๒)

https://youtu.be/gQSzQr6H8SA



ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



วันนี้ให้พากันฟังอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง อย่ามาเข้าใจผิดคิดว่า ร่างกายสังขารนี้เป็นของ มั่นคงถาวรยั่งยืน แท้จริงร่างกายของคนเรานี่ ก็คือกระดูกต่อกันไว้นั่นเอง มันจะหลุดออกเมื่อใดก็ได้ 

พระพุทธเจ้าท่านแบ่งไว้ว่ามีอยู่ตั้ง 300 ท่อน แต่หมอแพทย์แผนปัจจุบันนับไม่ถึง เธอเขาไม่ได้นับกระดูกหักกระดูกอ่อนเขานับแต่กระดูกแข็ง เวลาฟังอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนนี่ ไม่ให้จิตคิดไปที่อื่นรวมจิตเข้ามาอยู่ในกองกระดูก คือเวลานี้ให้ถือว่าตัวเราทุกคน สมมุติว่ามันตายไปหลายสิบปีแล้ว แต่ยังเหลือ กระดูกมาต่อกันไว้ เวลาเราดูกองกระดูก ดูโครงกระดูก ไม่ต้องดูเนื้อดูหนัง เพ่งเข้าไปว่าตัวหนังน่ะมันตายไปนานแล้วเดี๋ยวนี้ยังเหลือแต่โครงกระดูก โครงกระดูกนี้เป็นผีหลอก เวลานี้โครงกระดูกนั่งภาวนา         นั่งสมาธิก็ให้ดู ดูหน้าดูตาแต่ไม่ต้องดูตาเป็นเนื้อ ดูกระบอกตา กระบอกตานี่มันโหว่เข้าไปทั้งสองข้างเป็นกระดูกโหว่เข้าไปหรือกระดูกเข้าไป เหมือนเปลือกไข่ที่เขาทำอาหารแล้วทิ้งไว้หรือเอามาเลี้ยงไว้เหมือนกระบอกตา กระดูกนี้ ก็ให้ดูว่า โครงกะดูกหรือกระบอกตานี่แหละให้จิตเห็นในจิตว่ามันเป็นยังไง ให้ดูให้มันเห็นแจ้งในจิตใจของตัวเอง อย่าไปคิดว่าเป็นของสวยของงาม กระบอกตาทั้งสองข้างในภาพให้เห็นชัดแจ้งในแล้ว ลูกกะตาไม่มีมันโหว่เข้าไป อาการที่มันโหว่ข้าไปนะไม่ใช่สวยงาม ยังเหลือแต่โครงกระดูก กระดูกทั้งสองข้าง 


เมื่อเห็นแจ้งชัดแล้ว ดูต่อลงมาลงมาดูดั้งจมูกกระดูกดั้งจมูก เนื้อหนังไม่ให้ปรากฏให้เป็นกระดูก ก็เป็นรูโบ๋เข้าไปเหมือนกัน เป็น 2 รูเข้าไป สมัยเมื่อคนเรายังไม่ตาย น้ำมูกเวลาเป็นหวัดมันก็ไหลออกเป็นของปฏิกูลโสโครก ถ้าเห็นเป็นกระดูกแล้วไม่มีเนื้อหนังหุ้ม ความสวยความงามที่เราว่าจมูกงามไม่มี มันโว่เข้าไปข้าไปในกะโหลกศีรษะ และไม่ห็นว่าไม่งามด้วย ที่ใครเห็นว่างามคือมันเป็นความหลง เห็นว่าดั้งจมูกนี่ไม่งาม เป็นรูโหว่เข้าไป 2 รู เป็นของกิเลศกระดูก ดั้งจมูก ต่ำลงมากว่านั้นหน่อยก็เป็นกระดูกคางข้างบน กระดูกคางข้างบนนี้ก็ให้เห็นเป็นกระดูกทีเดียว แล้วก็ให้เห็นฟันเห็นเขี้ยวเป็นซี่ๆ จับอยู่ทั้งสองข้าง ทั้งหมดน่ะ ให้เป็นให้เห็นเป็นกระดูกฟัน กระดูกเขี้ยวกระดูกคางข้างบน ถ้าดูรูปร่างกระดูกคางนี่ก็ไม่สวยไม่งามอีก ที่เราไปเห็นวานรเห็นลิงว่าขี้ร้ายขี้เหร่ยังดีกว่ากระดูกของเราอีก นี่ไม่เป็นน่าดูเลย 


  มื่อกำหนดได้ว่ามันไม่งามจริงๆมันดูให้ทั่ว แต่นี่ทางนี้มันมีกระดูกข้างบนที่ให้กำหนดนั้น มีกระดูกคางข้างล่าง มันห้อยอยู่กระดูกคางข้างล่างยังห้อยอยู่ อยู่ใต้กระดูกคางข้างบน ดูให้มันเห็น เดี๋ยวนี้เวลานี้ไม่ให้จิตคิดไปที่อื่น ให้เป็นบทกรรมฐานอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ให้เห็นฟันเห็นเขี้ยวเป็นที่ๆด้วย คางข้างล่างมันคงขึ้นไปกรอกกันอยู่ข้างบน สมัยเมื่อมนุษย์ยังไม่ตายแต่เดี๋ยวนี้มันตายไปแล้วยังเหลือแต่โครงกระดูก มนุษย์ไม่ว่าจะบริโภคอาหา รบริโภคผลไม้กินอะไรก็ตาม กระดูกคางข้างบนข้างล่างก็เหมือนกับครกเหมือนกับสาก ครกตำน้ำพริกก็วันละ แต่คบกับตำน้ำพริกนั้นมนุษย์มันต่ำข้างบนลงมา ธรรมชาติคางข้างบนข้างล่าง ใช่คางข้างล่างต่ำขึ้นไป เพื่อให้อาหารแหลก รุ่นแรกละเอียด เมื่อสมัยยังไม่ตายเหลือแต่กระดูกนะมันจะได้ละลายไปเลี้ยงเนื้อหนังมังสั่งในตัวนั้น ถ้าเรากำหนดมาที่นี่ก็จะเห็นอีกกว่า คางข้างบนข้างล่างพร้อมด้วยฟันไม่งามเลย เหมือนกับผีหลอกนั่นแหละ สมัยมันยังมีชีวิตอยู่ คนแก่บางคนมันเนื้อหนังมันเหี่ยวแห้งไปหมด ยังเหลือแต่หนังหุ้ม เราไปดูก็จะเห็นว่าคางข้างล่างเนี่ยมันแกว่งเวลาเขากินอาหาร มันกระทบขึ้นไปร่องแรงอยู่เรื่อย จนกว่าจะอิ่ม นี่ก็ว่ากระดูกคาง


เมื่อเห็นแจ้งในกระดูกคางข้างบนก็ขี้ร้ายขี้เหร่ข้างล่างก็กี่ไร่กิเลสเช่นอีกแล้วจิตอย่ามายึดถือ กระดูก ทีนี้กะโหลกศีรษะมันกะโหลกศีรษะนี้ ก็เข้ากันเป็นสลับกันคือว่ามนุษย์เมื่อมันยังไม่ตายนั่น มันมีมันสมองอยู่ในกะโหลกศีรษะ ถ้ามีอะไรมากระเทือน ตกลมแรงๆตกอะไรก็มักจะเอาถึงตายได้ สมองแตกสมองเคลื่อนตาย กะโหลกศีรษะนี่แหละป้องกันรักษา ดูข้างหน้า ดูข้างซ้ายดูข้างขวา ดูข้างบน ให้เห็น 

พี่กระดูกมันสลับกันหรือว่าเข้าเป็นเขี้ยวหมาตายสลับกัน ดูให้เห็น ส่วนในมันสมองก็ไม่ให้มันเป็น มันสมองล่ะมันเป็นว่างดูข้างใน ก็เห็นเป็นกระดูก ให้จิตใจนั่นแหละวันนี้แหละ กะโหลกศีรษะ กระบอกตา ดั้งจมูก คางข้างบนข้างล่างพร้อมด้วย ที่เราเห็นว่า ฟันสวยฟันงามคนสวยคนงามไม่มี ถ้ายังเหลือแต่โครงกระดูกพิจารณาเห็นอย่างนี้แหละเสมอกันหมด ไม่มีคนใดสวยงามวิเศษวิโสกว่ากัน ยังเหลือแต่โครงกระดูกไม่มีที่ตรงไหนที่จะมาสำคัญผิดคิดว่าเป็นของสวยของงาม อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ทั้งนั้น 


เมื่อแจ่มแจ้งชัดเจนในกะโหลกศีรษะแล้ว ก็เลื่อนลงไป ใต้กะโหลกศีรษะหรือว่า ที่กะโหลกศีรษะตั้งอยู่นั่นให้ชื่อว่ากระดูกคอ ตั้งตั้งไว้ที่กระดูกคอ กระดูกคอนี้เป็นกระดูกเลื่อนได้ เป็นกระดูกพิเศษก็ว่าได้ ไม่เหมือนกระดูกอย่างอื่น กระดูกนี่มันเลื่อนได้ เมื่อสมัยคนเรายังไม่ตาย มีเนื้อมีหนังอยู่โน่น ดูอะไรๆมันเลื่อนเอาที่นี่ เลื่อนที่กระดูกคอ หน้าตามันก็เลื่อนไปตามกระดูกคอนั้น มีหลายชิ้น ทีนี่กระดูกคอก็ต่อ    ต่อกระดูกสันหลัง กระดูกข้อต่อกระดูกสันหลังกระดูกสันหลังนั้นเป็นท่อนๆ ดูให้เห็นมันมีอยู่ในตัวในกระดูกสันหลังทุกคน แล้วก็มีกระดูกเหง้าแขนทั้งสองข้าง ต่อเข้าไปต่อเข้าไปถึงกระดูกหลัง มีกระดูก ไหปลาร้าจะว่าหรือกระดูกที่เรามองเห็นคนข้างหน้ามันเป็นเหมือนเหมือนด้ามมีดเหมือนมีดเหมือนด้ามมีดเขาก็ให้ชื่อว่ากระดูกมีดกระดูกไหปลาร้าถ้าเอาข้อออกมามันเหมือนน่ะตั้งไว้แล้วก็เหมือนมันไหปลาร้า ดูให้เห็น ว่ากระดูกคอมันตั้งอยู่ต่ออยู่กับกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังและกระดูกแขนทั้งสองข้างก็ต่อออกมาจากนั้น แล้วในกระดูกแขนนี่แหละมันมีกระดูกอันหนึ่งเขาให้ชื่อว่ากระดูกเกิ้ง บางๆมันมาให้ แขนคนเราสมัยที่ยังไม่ตายมันเลื่อนได้ หรือเขาว่าเกิ้งเขาก็ว่ามันเป็นเรื่องเป็นบางๆ แขนท่อนล่างต่อขึ้นมา กระดูกกระดูกแขนท่อนล่างต่อเป็นมาต กระดูกแขนท่อนบนกระดูกแขนท่อนล่างเป็น 2ดูกทั้ง 2 ข้าง ที่มันสร้างมาเป็น 2อยู่กับเพื่อให้ทนทานให้ได้นานเท่าที่จะนานได้ไหมมันหัก ช่วยกันเวลามนุษย์ยังไม่แตกไม่ตายนั้นมันทำการงานอะไรก็อาศัยกระดูกแขนท่อนล่างให้มันแข็งแรงหน่อยธรรมชาติมันสร้าง เวลาเราภาวนาของเพ่งให้มันเห็นกระดูก มาต่อกันที่ที่มันทบส่วนล่างต่ำลงไปกลับไปต่อกับกระดูก กระดูกมือ กระดูกมื้อนี้ก็เป็นท่อนๆ ต่อไปจนสุดไปแล้วเป็นนิ้ว เป็นนิ้วโป้งนิ้วกลางนิ้วโป้งนิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วนางนิ้วก้อยทั้ง 2 ข้างกระดูกทั้งนั้นแหละ 


เมื่อแพ่งดูในกระดูกนี่แล้วมันไม่มีที่ไหนที่เรียกว่าสวยงามขี้เหร่ที่สุด เมื่อดูสุดปลายมือปลายเท้าแล้วเป็นกระดูกทั้งนั้น เพราะมันตายนานๆแล้ว จนหายเหม็นนะ แค่นี้ก็มาดูกระดูกหน้าอก กระดูกหน้าอกกระดูกสันหลังเป็นท่อนท่อนกระดูกข้าง นี้เป็นกระดูกป้องกันภัยอันตราย คือในสมัยเมื่อมนุษย์ยังไม่ตายโน่น ตับไตไส้พุงปอดหัวใจ อะไรๆทั้งหมดมีแต่สิ่งที่จะแตกจะทำร้ายง่ายๆ ธรรมชาติมันก็สร้างกระดูกคาบกระดูกสันหลังกระดูกหลังป้องกัน อาจยังไม่ถึงคราวตายก็อย่าให้มันตายง่ายๆเวลาพักตกหกล้มอะไรต่อมิอะไร ถึงวันนั้นก็หลังหักกระดูกข้างหักกันอยู่เรื่อยๆ 


เวลานี้เราดูให้รู้ว่า ตำแหน่งกระดูกข้าง ตำแหน่งกระดูกสันหลัง มันอยู่ตรงใดมีรูปร่างสีสันฐานอย่างไรก็ให้ดูตามความเป็นจริงนั้น จนถึงกระดูกบั้นเอว เมื่อถึงกระดูกบั้นเอวถ้าเราตั้งไว้ดูข้างหลังเป็นลูกหนึ่งถ้าดูข้างหน้าก็เป็นลูกนึง เห็นเป็นโครงกระดูกละมั้ง ข้างในก็ว่าง ข้างนอกกระดูกข้างเต็มเป็นซี่ๆ ดูตลอดมาตั้งแต่ก็บอกตากะโหลกศีรษะแล้ว คนขี้กลัวผีเราก็นอนไม่หลับ เพราะว่าผีกระดูก ผีกระดูกของเราเองมันหลอกอยู่ไม่ได้หยุด ดูให้มันเห็น แผ่นดูจิตแม่นแล้วมันก็ปรากฏ เหมือนอย่างไรก็ดูไปอย่างนั้น อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ให้ภาวนาอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน กระดูกบั้นเอวก็เป็นท่อนท่อน กระดูกบั้นเอวมันไปต่อกระดูกสะโพกกระดูกก้นกบ กระดูกเกๆ เขาก็ว่า เมื่อกระดูกบั้นเอวต่อตรงกลาง แล้วก็มีกระดูกเหง้าข้างทั้งสองข้าง มาต่อจากนี้อีกทีหนึ่ง กระดูกขาท่อนบนมันเป็นกลมกลมสำหรับมารวมไว้ในที่มันเป็นช่องเป็นรู สมัยยังไม่ตายมันต่อกันตรงนี้ทั้งสองข้าง ว่ากระดูกเหง้าขาท่อนบนตอนนี้ อันล่างก็ต่อเขา ในเขานี่ก็มีกระดูกแข้งขึ้นมามาต่อกันให้ที่ว่ากระดูกเข่า มันพับได้ แล้วยังมีกระดูกสะบ้าคือมันเป็นกระดูกกลมๆ แบนๆหน่อยสำหรับ เมื่อสมัยมนุษย์ยังไม่แตกไม่ตายนั้นกระดูกนี้มันช่วย ช่วยไม่ให้กระดูกขากับกระดูกเข่ามันหลุดออกจากกัน มันช่วยประคับประคอง ดูให้มันเห็น ทีนี่กระดูกแข้งกับมาต่อกระดูกขา ข้างล่าง การดูแข้งนี้ ทั้งสองข้างก็มีสองเหมือนกัน เป็นสามเหลี่ยม ท่อนบนกับมาต่อกระดูกขา ส่วนล่าง กระดูกแข็งมาต่อเราก็ต่อลงไปทั้งสองข้าง ดูให้เห็นทั้งสองข้างก็เป็นกระดูก ดูแข้งไปสุดกระดูกข้างในไปตั้งกระดูกเถ้ากระดูกมันไปเท่าหนังกระดูกกระดูกเป็นข้อๆเป็นท่อนๆ ลงไปก็เป็นกระดูก นิ้วเท้านิ้วโป้นิ้วใหญ่นิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วนางนิ้วก้อยเหมือนกัน มองให้เห็นในจิต เป็นโครงกระดูกนั่งภาวนาฟังธรรม อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน เมื่อเราพิจารณาจริงๆนั้นไม่เหมือนอธิบายนี้ถ้ามันเห็นแจ้งชัดดีเท่าไหร่ก็เท่านั้นดี ดูลงไปจนถึงสุดปลายมือปลายเท้า จากปลายเท้าขึ้นมา ตลอดจนกะโหลกศีรษะ จนเห็นเป็นโครง โครงกระดูก 300 ท่อน แต่ไม่ต้องไปเห็นแบบโรงพยาบาลหรือแบบเขาแขวนไว้ศาลาวัด อันนั้นมันอยู่นอกไม่เอา ให้เห็นมีอยู่ในร่างกายตัวตนของเราทุกคน คำว่าอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน กำหนดขึ้นๆลงเบื้องบนเบื้องต่ำอยู่ตลอดจนเห็นชัดแจ้งในจิตในใจ มองเห็นโครงกระดูกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เวลาโครงกระดูกนั่งสมาธิเป็นอย่างไรก็ดู นั่งแบบไหนก็ให้ดูโครงกระดูกของตัวเองมันนั่ง มันยืนขึ้นกระดูกเมื่อยืนขึ้นมันเป็นรูปร่างอย่างไรดู เมื่อมันเดินไป กระดูกก็ไม่ให้โหลดกำหนดว่าไม่ต้องโหลดเดินให้ดู กระดูกทุกอย่างมันจะเคลื่อนไหวไปมา ให้ปรากฏ แต่ดวงจิตดวงใจผู้กำหนดพิจารณานั้นทีเดียว 


เวลากระดูกเดินไม่ใช่สวยงาม ไปอย่างนั้นแหละ มองให้เห็นเวลาเดินก็เห็นกระดูกมันเดินเป็นโครงเป็นร่างอยู่ ทีนี้เวลาไปรถไปลาก็ดูโครงกระดูกมันนั่ง นั่งแล้วมันทำงานอะไร นั่งในรถในเรือในอะไรก็ตามโครงกระดูกไม่ลืม อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน เวลามันขึ้นรถเวลามันลงรถต้องระวัง กระดูกมันจะหัก เพราะมันยังเหลือแต่กระดูก ที่นี่จนกระทั่งยืนเดินนั่งนอนก็เห็นกระดูกนอน ตื่นขึ้นมากระดูกตื่น เวลาพูดอะไรก็ดูมันพูดเวลากินกระดูกมันกิน เวลาคนเราร้องไห้หัวเราะกับกระดูกมันร้องไห้หัวเราะ กำหนดให้ไปมันทันอยู่อย่างนั้นตลอด 


เมื่อกำหนดกระดูกของเราให้มันแจ่มแจ้งชัดเจนกระดูกบุคคลผู้อื่นมันก็เหมือนกัน ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชายไม่ว่าเด็กหนุ่มแก่ชราเหมือนๆกัน อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ไม่มีใครสวยงามกว่ากันเท่าๆกันหมด อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน เพ่งจนกระทั่งเห็นคน จะเป็นชาติใดภาษาใดก็ตาม ฝรั่งมังค่ามันก็ยังเหลือแต่ดั้งจมูกจมูกแหลมไม่มี ตาสีน้ำเงินตาขาวตาฟ้าไม่มีเหมือนกันหมดกระดูก โครงกระดูก กำหนดจิตใจดวงผู้รู้ดูโครงกระดูกของตนและของบุคคลผู้อื่น ไม่มันเห็นว่าเป็นของสวยของงาม ถ้าแพ้มันไม่สวยไม่งาม จิตลงไปในทางที่ผิด จึงมาเกิดราคะตัณหาฟุ้งซ่านรำคาญ บวชในศาสนายังไม่ถึงร้อยปีก็อยากศึกษาลาเพศก็ไม่กำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ของตัวเอง ถ้ากำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ของตัวเองแจ้งแจ้งชัดเจนจะไม่วุ่นวาย นั่งก็เห็นกระดูก 300 ท่อน เจ้ากระดูก 300 ท่อนจะไปที่ไหนน้อเดินไปก็เห็นมันเดินไป นั่งอยู่ก็เห็นกระดูกนั่งอยู่ โครงกระดูก ไม่ใช่แต่เพียงคิดนึกเห็นภาพในนั้นด้วยเพราะมันมีภาพ 


กระดูกมันเป็นของแข็ง เป็นภาพเเป็นโครงกระดูกเมื่อตอนกันไว้ให้มันหลุดกันเรียกว่าเวลาเดินไปมันก็โครงเครงโครงเครงโครงเครงโครงโครงกระดูก ไม่มีใครที่ว่าสวยงามกว่ากัน โครงกระดูกทั้งนั้น ให้รู้ให้เข้าใจ อย่ามาหลงโครงกระดูกของตัวเองว่าดีว่างาม และอย่าไปหลงโครงกระดูกของบุคคลผู้อื่นว่าสวยว่างาม ของเราทั้งหลายพระองค์กำหนดพิจารณาถอยขึ้นถอยลงถอยลงถอยขึ้นชำนิชำนาญ จนไม่หลงไม่ลืม ไม่เข้าใจผิดคิดว่ามันมันเป็นอย่างอื่น  ท่านเห็นว่ามันเป็นโครงกระดูกอยู่อย่างนั้น เจ้าตัวเราจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน เขามีมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ออกมาก็มีแต่ว่าระยะนั้นมันยังเล็กอยู่ มันเล็กก็จริงแต่ว่ากระดูกยังไม่หัก ส่วนมากทุกคนเราเมื่อใหญ่แล้วกระดูกชอบหัก บางคนก็แข็งหักบางคนก็ขาหักดูข้างหักดูแขนหัก คอหักอะไรต่ออะไรคือไม่กำหนดพิจารณา ไม่รักษาตัวเอง 


พระพุทธเจ้าท่านรักษากระดูก 300 ท่อนทำได้ถึง 80 ปีไม่มีอะไรหัก ดีหมด คนเราบางคนยังไม่ถึง 80 ปี หักนู่นหักนี่แหละ นอกจากหักแล้วก็ตายอีก เพราะไม่กำหนด อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน สติสมาธิปัญญาจึงไม่เกิด รักษา อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ของตนตลอดรอดฝั่งไม่ได้ กำหนดพิจารณา อย่ามานั่งเฝ้าอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองอยู่  ไม่กำหนดพิจารณา หวงกระดูก หวงกระดูกเหมือนสุนัขเมื่อมันได้กระดูกแล้วมันมากัดกินกระดูกกระดูกแห้งกระดูกไม่มีเลือดออก คนเราทุกคนเมื่อกำหนดถึงขั้นกระดูกอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน มันมาหลงกระดูก 300 ท่อนแท้ๆ มันดีกว่าไหน พิจารณาดู ดูข้างหน้าเป็นยังไงดูข้างหลังเป็นยังไงดูตามระเบียบขึ้นระเบียบลงเป็นอย่างไรมันมีจริงหรือไม่มีจริงความจริงมันมีอยู่ แต่อาศัยจิตฟุ้งซ่านรำคาญไปที่อื่น กระดูกของตัวเองมี 300 ท่อนก็ไม่ได้นับไม่ได้อ่าน 


  โครงกระดูกผีหลอกอยู่ข้างนั่งมันตลอดเวลานั่ง ยืนมันหลอกเวลา ยืนเดินมันหลอกเวลาเดิน กินข้าวกินน้ำกระดูกมันก็แสดง แต่เจิตมันไม่นอนนำเข้ามาจึงได้ร่วมหลงมัวเมาไปตามกิเลสของโลก ถ้ามันเห็นเป็นโครงกระดูกนั่งกับเป็นโครงกระดูกอย่างนี้อย่างนี้ยืนก็เป็นโครงกระดูกอย่างนี้อย่างนี้ เดินก็เป็นโครงกระดูกเดินอย่างนี้ นอนก็เป็นโครงกระดูกนอนอย่างนี้ ไหว้พระกระดูกเป็นอย่างทำท่าอย่างนี้นั่งสมาธิ นั่งขัดสมาธก็เห็นโครงกระดูกมันหนัก  แปลว่าสติสัมปชัญญะตามรู้ตามเห็นอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองอยู่  แล้วไม่ปล่อยให้ความวิปลาสคลาดเคลื่อนมาทับถมใจ ไปเห็นว่าเป็นของมันคงถาวรเป็นของสวยของงามมันไม่ถูก ที่ถูกมันต้องเห็น อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ต่อกันไว้ไม่มีใครเป็นเจ้าเป็นใหญ่มัน 

ตายแล้วเนื้อหนังมังสามันหลุดลอยไปหมดแล้ว กระดูกมันมีอยู่เท่ากัน


พระพุทธเจ้าท่านจึงให้สาวกทั้งหลายผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั้งหมด กำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ให้มันเห็นแจ้งในจิตใจมันจะเด่นละกิเลสราคะตัณหาภายในให้หมดสิ้นไป ในจิตในใจให้หมดไปสิ้นไป ละโมหะอวิชชาตัณหาในจิตใจให้หมดไปสิ้นไป เพราะที่ จิตมาหลงอยู่ในขณะนี้ ในโครงกระดูกอันนี้ เพราะไม่กำหนดพิจารณาอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนให้ดี เกิดมาดีใจเสียใจร้องไห้น้ำตาไหล เวลามันเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่ได้สมความปรารถนาก็ร้องไห้ กระดูกมันร้องไห้ก็ให้ดู กระดูกมันร้องไห้ไม่มีน้ำตาหรอกมันอ้าปากร้องไปอย่างนั้น ดูให้เห็น ไม่เห็นอย่าส่งใจไปที่อื่น มันเคลื่อนไหวไปมาอย่างไรตามดู รู้ได้ก็เป็นศีลเป็นธรรม เป็นธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแจ้งชัดว่าร่างกายกองกระดูกนี่มันเป็นจริงอย่างนี้นั่นแหละ ก็เหมือนก็ว่าพระธรรมท่านสอนพระธรรมสอนพระอริยสงฆ์เจ้าสอน สอนให้จิตใจตัวเรารู้ไม่ได้ให้กระดูกมันรู้ ให้ใจหลงเนี่ยไม่มาหลงกระดูก ดังนั้นผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่ามัวประมาณ อัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ของตัวเองดูไม่ได้ไม่เห็นไม่ยอมขึ้นภาวนาดูอัฐิกังกระดูก 300 ท่อนของตัวเองให้แจ่มแจ้ง แล้วก็จะเห็นของคนอื่นทั่วๆไปเต็มโลกก็เหมือนกันหมด นี่แหละอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน 


ทุกคนจงพากันกำหนดพิจารณาให้แจ่มแจ้งชัดเจนภายในจิตใจของตนให้ได้ จนจิตใจไม่หลงไม่ลืม ใครจะหัวเราะร้องไห้ ใครจะดีใจเสียใจมันก็แค่กระดูก 300 ท่อน ตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนาให้เห็นแจ้งภายในจิตใจ เห็นแจ้งเต็มที่มันจะถอนในตัวกิเลศความโกรธมันจะหมดไป กิเลสความโลภความอยากได้มันจะหมดไป มันเอามาอะไร  มาแต่งกระดูก 300 ท่อนหรือ เอาผ้ามาแต่งสวยๆมันสวยไหมมันก็ไม่สวยมันกระดูก 300 ท่อน ผีหลอกตลอดเวลา ให้รู้ให้เข้าใจ 


เมื่อผู้ปฏิบัติในพุทธศาสนามาแจ้งในอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ใจร้อนเป็นไฟไม่มี ใจจะเย็นเป็นเหมือนน้ำแข็ง นั่งก็เย็น นอนก็เย็น ไปไหนมาไหนพูดจาปราศรัยก็ไม่กระโตกกระตาก สังวรระวังอยู่ที่ไหนไปที่ไหนทำอะไร แล้วว่าอินทรีย์สังวร รักษาตา รักษาหูตาจมูกลิ้นกาย ทุกอย่างได้ เพราะกำหนดอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน ฉะนั้นเมื่อว่าเราท่านทั้งหลายพากันได้ยินได้ฟังแล้วก็ให้กำหนดจดจำนำไปประพฤติปฏิบัติ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Siam Class : บันทึกสำหรับคนชอบสะสม แสตมป์ (Stamps)